User:Clumsily/Civil and Commercial Code
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ย่อ: ป.พ.พ.) เป็นประมวลกฎหมายแพ่งแห่งราชอาณาจักรไทย เริ่มร่างครั้งแรกใน ร.ศ. ๑๒๗ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๕๑ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายหลังการประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญาเมื่อปีเดียวกัน เพื่อริเริ่มการขอยกเลิกบรรดาสนธิสัญญาที่ราชอาณาจักรสยามทำไว้กับต่างประเทศอันมีผลให้สยามต้องเสียเปรียบในด้านสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและเอกราชทางการศาล[1]
การจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยนั้นมี เบือร์แกร์ลิชส์เกเซทซ์บุค (Bürgerliches Gesetzbuch) หรือประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน และ มินโป (民法, Minpō) หรือประมวลกฎหมายแพ่งแห่งญี่ปุ่น เป็นแม่แบบหลัก กับทั้งมีประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศส (Code civil des Français) และ ซีวิลเกเซทซ์บุค (Zivilgesetzbuch) หรือประมวลกฎหมายแพ่งสวิส เป็นแม่แบบรอง ประกอบกับกฎหมายเดิมของสยามเองและกฎหมายของชาติอื่น ๆ อีกประปราย[2] โดยงานร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เฉพาะการร่างบรรพแรกจากที่วางโครงการไว้ทั้งหมดหกบรรพนั้น ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวเป็นเวลาถึงสิบห้าปี ใช้งบประมาณมหาศาล และเปลี่ยนคณะกรรมการร่างถึงสี่ครั้ง ซึ่งคณะกรรมการทุกชุดล้วนมีชาวฝรั่งเศสเป็นสมาชิกและมีอิทธิพลมากในการดำเนินงาน โดยเฉพาะชุดแรกนั้นเป็นชาวฝรั่งเศสทั้งคณะ หลังจากนั้นจึงเริ่มทยอยร่างและประกาศใช้บรรพอื่น ๆ จนครบ ทั้งหมดกินเวลากว่าสามสิบปี ซึ่งได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมเรื่อยมาจนปัจจุบันตามสถานการณ์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีโครงสร้างแบ่งเป็นหกบรรพ ประกอบด้วย บรรพ ๑ หลักทั่วไป, บรรพ ๒ หนี้, บรรพ ๓ เอกเทศสัญญา, บรรพ ๔ ทรัพย์สิน, บรรพ ๕ ครอบครัว และบรรพ ๖ มรดก ตามลำดับ โดยตั้งแต่เริ่มมีผลใช้บังคับครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๖๘ จวบจนถึงบัดนี้ ประมวลกฎหมายดังกล่าวมีอายุเกือบหนึ่งศตวรรษแล้ว
ประวัติ
มูลเหตุแห่งการจัดทำประมวลกฎหมายบ้านเมือง
กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๔ ประเทศสยามก็เหมือนประเทศอื่น ๆ ในแถบเดียวกันที่ต้องผจญอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกทั้งในด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม จนที่สุดหลาย ๆ ประเทศ อาทิ ประเทศญี่ปุ่นและประเทศจีน รวมถึงสยามเองก็จำต้องยอมรับนับถือเอาแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ ของตะวันตกเข้ามาใช้ในประเทศตน โดยเฉพาะด้านการเมืองการปกครองของสยามนั้น ชาวตะวันตกต่างดูถูกดูแคลนว่าพระราชกำหนดบทพระอัยการกฎหมายตราสามดวงมีความล้าหลัง ป่าเถื่อน ไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน จึงไม่ยอมให้ใช้กฎหมายเหล่านั้นแก่ตนเป็นอันขาด เป็นเหตุให้สยามจำต้องทำสนธิสัญญาเสียเปรียบกับชาติตะวันตกหลายประเทศยอมยกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้พวกเขาเหล่านั้น[1]
ประเทศสยามจึงเริ่มรับหลักกฎหมายในระบบคอมมอนลอว์ (common law system) ของประเทศอังกฤษเข้ามาใช้ในการวินิจฉัยชี้ขาดอรรถคดีในกรณีที่กฎหมายตราสามดวงไม่ครอบคลุมหรือไม่เหมาะสม กับทั้งมีการจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายที่สอนกฎหมายระบบคอมมอนลอว์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งวิวัฒนามาเป็นคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ครั้งนั้นกฎหมายตรามสามดวงก็ยังคงเป็นระบิลเมืองอยู่[3]
[[ไฟล์:King Rama V Equestrian.jpg|พระบรมรูปทรงม้า พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ ที่ลานพระราชวังดุสิต|180px|left|thumb]]
และเพื่อให้มีกฎหมายที่ใหม่และทันสมัยสำหรับเป็นเงื่อนไขสำคัญให้สยามหลุดพ้นจากความเสียเปรียบในเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงตัดสินพระราชหฤทัยให้มีการจัดทำประมวลกฎหมายบ้านเมืองดุจชาติตะวันตกทั้งหลาย ดังพระราชปรารภในกฎหมายลักษณะอาญาว่า[4]
"...ในระหว่างตั้งแต่จุลศักราช ๑๒๑๗ ปีเถาะ สัปตศก รัตนโกสินทรศก ๗๔ ประเทศไทยได้ทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีกับนานาประเทศ และหนังสือสัญญาทั้งปวงนั้นได้ทำตามแบบหนังสือสัญญาที่ฝรั่งได้ทำกับประเทศทางตะวันออก คือ ประเทศเตอรกี ประเทศจีน และประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น มีข้อความอย่างเดียวกันที่ยอมให้กงสุลมีอำนาจตั้งศาลพิจารณาและพิพากษาคดีตามกฎหมายของเขา ในเมื่อคนในบังคับของชาตินั้น ๆ ที่เข้ามาอยู่ในประเทศทางตะวันออกเป็นความกันขึ้นเองหรือเป็นจำเลยของคนในบังคับของบ้านเมือง ลักษณการอย่างนี้ แม้จะมีประโยชน์ที่บรรเทาความรับผิดชอบแห่งเจ้าของประเทศได้อยู่บ้างในสมัยเมื่อแรกทำหนังสือสัญญา เวลายังมีชาวต่างประเทศพึ่งเข้ามาค้าขาย แต่ต่อมาเมื่อการค้าขายคบหากับนานาประเทศเจริญแพร่หลาย มีชาวต่างประเทศมาตั้งประกอบการค้าขายในพระราชอาณาจักรมากขึ้น ความลำบากในเรื่องคดีที่เกี่ยวข้องกับคนในบังคับต่างประเทศก็ยิ่งปรากฏเกิดมีทวีมากขึ้นทุกที เพราะเหตุที่คนทั้งหลายอันประกอบการสมาคมค้าขายอยู่ในประเทศบ้านเมืองอันเดียวกันต้องอยู่ในอำนาจศาลและในอำนาจกฎหมายต่าง ๆ กันตามชาติของบุคคล กระทำให้เป็นความลำบากขัดข้องทั้งในการปกครองบ้านเมืองและกีดกันประโยชน์ของคนทั้งหลายตลอดจนชนชาติต่างประเทศนั้น ๆ เองอยู่เป็นอันมาก ความลำบากด้วยเรื่องอำนาจศาลกงสุลเช่นว่ามานี้ย่อมมีทุกประเทศที่ได้ทำสัญญาโดยแบบอย่างอันเดียวกัน และต่างมีความประสงค์อย่างเดียวกันที่จะหาอุบายเลิกล้างวิธีศาลกงสุลต่างประเทศ ให้คนทั้งหลายไม่ว่าชาติใด ๆ บรรดาอยู่ในประเทศนั้น ๆ ได้รับประโยชน์อยู่ในอำนาจกฎหมายและอำนาจศาลสำหรับบ้านเมืองแต่อย่างเดียวทั่วกัน..."
สมยศ เชื้อไทย รองศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการที่รัฐบาลสยามตัดสินใจจัดทำประมวลกฎหมายบ้านเมืองในครั้งนั้นว่า เป็นการพลิกระบบกฎหมายที่ใช้อยู่ในครั้งนั้นจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว เพราะเป็นการเปลี่ยนจากระบบคอมมอนลอว์ที่กฎหมายมาจากบรรทัดฐานที่ศาลกำหนด ไปเป็นระบบซีวิลลอว์ (civil law system) ที่กฎหมายมาจากกระบวนการนิติบัญญัติ โดยเขากล่าวว่า[5]
"...การตัดสินใจทำประมวลกฎหมายครั้งนี้นับว่ามีความหมายในทางประวัติศาสตร์กฎหมายของไทยเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการเปลี่ยนระบบกฎหมายจากการรับกฎหมายอังกฤษเข้ามาใช้ ซึ่งได้ปฏิบัติกันมาเป็นเวลาครึ่งศตวรรษ...มีความหมายว่าประเทศไทยหันเหจากการรับระบบคอมมอนลอว์ของอังกฤษมาใช้ เปลี่ยนไปรับระบบซีวิลลอว์ซึ่งเป็นระบบกฎหมายของภาคพื้นยุโรปที่มีนิติวิธีที่แตกต่างและตรงกันข้ามกับระบบคอมมอนลอว์ การที่ประเทศไทยประกาศใช้ประมวลกฎหมายจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงจากระบบกฎหมายหนึ่งไปอีกระบบหนึ่งทีเดียว..."
การเริ่มจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
หลังจากรัฐบาลสยามตัดสินใจจัดทำประมวลกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ใน ร.ศ. ๑๒๗ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๔๕๑ ก็ได้กฎหมายลักษณะอาญาเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของประเทศและประกาศใช้ในปีนั้นเอง ครั้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำริให้จัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อไป ดังปรากฏในพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า[6]
"กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ใช้อยู่ในเวลานี้ยังกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง สมควรจะนำมารวบรวมไว้แห่งเดียวกันและจัดเข้าเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้สมแก่กาลสมัย ความเจริญ และพาณิชยกรรมแห่งบ้านเมือง และความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ส่วนหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งศาลยุติธรรมได้เคยยกขึ้นปรับสัตย์ตัดสินคดีเนือง ๆ มาโดยธรรมเนียมประเพณีอันควรแก่ยุติธรรมนั้น สมควรจะบัญญัติไว้ให้เป็นหลักฐานและกิจการบางอย่างในส่วนแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งไม่มีกฎหมายที่ใช้อยู่ในบัดนี้ ก็ควรจะบัญญัติขึ้นไว้ด้วย...ทางที่จะให้ถึงซึ่งผลอันนี้ ควรจะประมวลและบัญญัติบทกฎหมายที่กล่าวมาแล้วเข้าเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามแบบอย่างซึ่งประเทศอื่น ๆ ได้ทำมา..."
พระองค์โปรดให้ตั้งคณะกรรมการร่างกฎหมาย ซึ่งประกอบด้วยนักกฎหมายชาวฝรั่งเศสล้วน ๆ ทั้งนี้ เหตุว่าอิทธิของฝรั่งเศสยังมีเหนือสยามอย่างมากในสมัยนั้น ไทยจึงจำต้องยอมตั้งชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ร่างกฎหมาย[7] โดยคณะกรรมการร่างกฎหมายประกอบด้วย[8]
ที่ | ชาติ | ชื่อ | ตำแหน่ง |
---|---|---|---|
๑. | ![]() |
ชอร์ช ปาดู (Georges Padoux) | ประธานกรรมการ |
๒. | ![]() |
โมรีซ อองรี ลูอี เลอกงป์-มงชาร์วีย์ (Maurice Henri Louis Lecompte-Moncharville) | กรรมการ |
๓. | ![]() |
เรอเน กียง (René Guyon) | กรรมการ |
๔. | ![]() |
ลูอี รีวีแยร์ (Louis Rivière) | กรรมการ |
๕. | ![]() |
แซ็กนิตซ์ (Segnitz) | กรรมการ |
๖. | ![]() |
ลาฟอร์กาด (Laforcade) | กรรมการ |
๗. | ![]() |
ชาร์ล เลแว็ก (Charles L'Evêques) | กรรมการ |
คณะกรรมการชุดดังกล่าวเริ่มงานตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๑ นั้นเอง โดยวางโครงสร้างทั่วไปของประมวลกฎหมาย ก่อนจะประชุมหารือกันว่าจะจัดทำเป็นประมวลกฎหมายสองฉบับ ประมวลฉบับแรกว่าด้วยเรื่องหนี้ อีกฉบับว่าด้วยเรื่งอื่น เช่นที่เป็นอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศตูนีเซีย และประเทศโมรอกโก หรือไม่ ซึ่งที่ประชุมมีมติว่าให้จัดทำเป็นประมวลกฎหมายฉบับเดียวที่ว่าด้วยเรื่องทางแพ่งและพาณิชย์ทั้งหมดจะเหมาะสมกว่า[9] แล้วจึงเริ่มลงมือร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้แก่ราชอาณาจักรสยาม จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๕๗ ชอร์ช ปาดู เดินทางกลับไปยุโรปและได้แนะนำเดแลสเตร (Délestrée) แก่ทางการไทยให้รับหน้าที่แทนตน ปรากฏว่าเดแลสเตรผู้นี้ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะดำเนินการยกร่าง ซ้ำเขายังรื้อโครงการที่ชอร์ช ปาดู และคณะทำไว้ก่อนหน้า ทำให้ร่างประมวลกฎหมายเกิดความอลเวง และการดำเนินงานเป็นไปโดยเชื่องช้าอย่างถึงที่สุด เมื่อชอร์ช ปาดู เดินทางกลับมาใน พ.ศ. ๒๔๕๙ ถึงกับตกตะลึงที่รับทราบว่างานร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ยุ่งเหยิงถึงเพียงนั้น ทั้งที่ตนได้วางระเบียบไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาถึงเจรจราให้เดแลสเตรลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการและเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนเสีย เพื่อเขาจะได้กลับเข้ารับตำแหน่งอีกครั้ง และแล้ว งานร่างประมวลกฎหมายก็ดำเนินต่อไป และใน พ.ศ. ๒๔๕๙ นั้นเอง จึงได้ร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์สองบรรพแรก คือ บรรพ ๑ หลักทั่วไป และบรรพ ๒ หนี้[10] ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าในระหว่างห้วงเวลาดังกล่าว รัฐบาลสยามต้องสูญเสียงบประมาณไปถึง ๗๗๐,๐๐๐ บาท ซึ่งนับว่าเป็นเงินมหาศาลในกาลครั้งนั้น แต่กลับได้ร่างกฎหมายเพียงแค่สองบรรพ[11]
เนื่องจากร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จัดทำเป็นภาษาอังกฤษก่อนจะแปลเป็นภาษาไทย ร่างทั้งสองบรรพนั้นจึงได้รับการส่งต่อมาให้แก่คณะกรรมการตรวจภาษา ซึ่งประกอบด้วย[8]
[[ไฟล์:พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร.jpg|thumb|หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤดากร|right|170px]]
ที่ | ชาติ | ชื่อ | ตำแหน่ง |
---|---|---|---|
๑. | ![]() |
หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤดากร | ประธานกรรมการ |
๒. | ![]() |
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ | กรรมการ |
๓. | ![]() |
หลวงสกลสัตยาทร | กรรมการ |
๔. | ![]() |
พระยากัลยาณไมตรี (เจมส์ ไอเวอร์สัน เวสเตนการ์ด) (James Iverson Westengard) | กรรมการ |
๕. | ![]() |
สกินเนอร์ เทอร์เนอร์ (Skinner Turner) | กรรมการ |
๖. | ![]() |
พระยามหิธรมนูปกรณ์โกศลกุล (โทะกิชิ มะซะโอะ) (政尾藤吉, Tokichi Masao) | กรรมการ |
๗. | ![]() |
พระยาอรรถการประสิทธิ์ (วิลเลียม แอลเฟรด คุนะทีเลกี) (William Alfred Kunatelake) | กรรมการ |
อย่างไรก็ดี ในที่ประชุมของคณะกรรมการชุดนี้มีความแตกแยกกันทางความคิดเห็นอย่างรุนแรง หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤดากร ทรงเกรงว่าหากดำเนินการประชุมต่อไปจะเกิดบาดหมางกันใหญ่โต จึงทรงสั่งเลิกประชุม และไม่มีการประชุมอีกเป็นระยะหนึ่ง[12] จนกระทั่งหม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ทรงลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมใน พ.ศ. ๒๔๕๑ นั้น โดยสาเหตุคาดว่ามาจากความขัดแย้งดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้พระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง (หม่อมราชวงศ์ลบ สุทัศน์) ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมคนใหม่ และรับหน้าที่ประธานคณะกรรมการชุดนี้ต่อไป[13]
คณะกรรมการร่างกฎหมายชุดที่สอง
[[ไฟล์:พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ.jpg|170px|thumb|right|สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์]]
ในปีเดียวกันนั้น พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้คณะกรรมการร่างกฎหมายที่ประกอบด้วยชาวฝรั่งเศสทั้งหมดพ้นจากตำแหน่ง และทรงแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เพื่อจัดการกับร่างเดิมทั้งสองบรรพให้เรียบร้อย ประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้[14] และมีการกำหนดอัตราเงินเดือนกรรมการยกร่างชุดนี้ไว้อย่างชัดเจนด้วย โดยกรรมการชาวต่างประเทศให้ได้รับเงินเดือนอย่างสูงเดือนละ ๑,๘๐๐ บาท หากได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการแล้วจะได้เดือนละ ๒,๐๐๐ บาท ขณะที่กรรมการฝ่ายสยามได้เดือนละ ๔๐๐ บาทเฉพาะเดือนที่ปฏิบัติหน้าที่[15]
ที่ | ชาติ | ชื่อ | ตำแหน่ง |
---|---|---|---|
๑. | ![]() |
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ | ประธานกรรมการ |
๒. | ![]() |
มหาอำมาตย์โท พระยานรเนติบัญชากิจ (ลัด เศรษฐบุตร) | กรรมการ |
๓. | ![]() |
พระยาจินดาภิรมย์ราชสภาบดี (จิตร ณ สงขลา) | กรรมการ |
๔. | ![]() |
พระยาเทพวิทุรพหุลศรุตาบดี (บุญช่วย วณิกกุล) | กรรมการ |
๕. | ![]() |
เรอเน กียง (René Guyon) | กรรมการ |
๖. | ![]() |
ลาฟอร์กาด (Laforcade) | กรรมการ |
๗. | ![]() |
ชาร์ล เลแว็ก (Charles L'Evêques) | กรรมการ |
แนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการชุดใหม่ เรอเน กียง บันทึกว่า[16]
"จุดหมายของผู้ร่างนั้น ในสาระสำคัญก็คือ ร่างกฎหมายให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ ด้วยเหตุนี้ ผู้ร่างจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ตกหลุมพรางของการคัดลอกบทบัญญัติของกฎหมายต่างประเทศแล้วนำมาดัดแปลงเอาอย่างเพียงผิวเผิน ไม่ว่าบทกฎหมายต่างประเทศนั้น ๆ จะประเสริฐเลิศเลอเพียงใดก็ตาม สำหรับการร่างกฎหมายแต่ละลักษณะ ๆ นั้น ผู้ร่างจะเริ่มต้นด้วยการศึกษาเรื่องนั้น ๆ อย่างกว้าง ๆ ก่อนโดยดูจากตัวบทกฎหมายของสยามที่มีอยู่ (พระราชบัญญัติ หรือคำพิพากษา) และจากประมวลกฎหมายสำคัญ ๆ ของต่างประเทศ เช่น ในแง่ของความชัดเจนจะดูจากประมวลกฎหมายฝรั่งเศส หลักกฎหมายบางอย่างดูจากกฎหมายอังกฤษบางฉบับซึ่งนักกฎหมายสยามส่วนมากรู้จักเป็นอย่างดี ในแง่ของบทบัญญัติที่สะดวกในการใช้และทันสมัยจะดูจากประมวลกฎหมายของสวิสและญี่ปุ่น ในแง่ของความกระชับรัดกุมด้วยเทคนิคทางกฎหมายก็จะดูจากประมวลกฎหมายเยอรมัน นอกจากนั้นก็ยังได้นำเอาข้อเปลี่ยนแปลงแก้ไขที่ได้มีขึ้นในกฎหมายของอิตาลี เบลเยียม ฮอลันดา และบางรัฐ[17] ในอเมริกามาเป็นข้อพิจารณาด้วย ในกรณีที่มีทางที่จะบัญญัติเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปได้หลาย ๆ แนวทาง คณะกรรมการจะเลือกแนวทางที่มีผลในทางปฏิบัติมากที่สุดสอดคล้องกับความจำเป็นสมัยใหม่ที่สุด ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะใช้ประโยชน์จากประสบการณ์และภูมิปัญญาของประเทศที่ได้มีประมวลกฎหมายมาก่อน มากกว่าที่จะลอกเลียนตาม ๆ กันไปดังเป็นทาสทางปัญญา..."
แม้จะมีการวางแนวทางไว้เช่นนั้น ทว่า การดำเนินงานก็มิใช่ง่าย เนื่องจากในการหยิบยกบทกฎหมายของไทยแต่เดิมขึ้นมาพิจารณาประกอบนั้น ตัวบทกฎหมายทางวิธีพิจารณาความและทางอาญามีมากกว่าทางแพ่งและพาณิชย์ ประกอบกับใน พ.ศ. ๒๔๖๒ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ ได้ทรงลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการ และเจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร (หม่อมราชวงศ์ลบ สุทัศน์) เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ได้รับตำแหน่งแทน[18] อนึ่ง ยังมีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกหลายคณะจนเฝือ เช่น คณะกรรมการช่วยยกร่าง คณะกรรมการตรวจคำแปลให้ถูกต้องทั้งด้านกฎหมายและการใช้ภาษา[19] เป็นผลให้งานร่างกฎหมายเป็นไปอย่างติด ๆ ขัด ๆ และการติดต่อประสานงานกันระหว่างคณะกรรมการทั้งหลายเป็นไปอย่างล่าช้า มีความคืบหน้าน้อยมาก[20]
คณะกรรมการร่างกฎหมายชุดที่สาม
[[ไฟล์:จิตร ณ สงขลา 2.jpg|170px|right|thumb|พระยาจินดาภิรมย์ราชสภาบดี (จิตร ณ สงขลา)]]
เมื่อเห็นว่าการจัดทำประมวลกฎหมายในประเทศสยามไม่คืบหน้า ใน พ.ศ. ๒๔๖๕ รัฐบาลฝรั่งเศสจึงเรียกร้องให้ไทยเร่งปรับปรุงระบบกฎหมายภายในประเทศอย่างไม่ชักช้าด้วยการจัดตั้งกรมร่างกฎหมายขึ้นทำหน้าที่เฉพาะโดยกำหนดให้เป็นเงื่อนไขที่ไทยจะต้องปฏิบัติตามเพื่อขอเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ในปีถัดมา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้ยกฐานะคณะกรรมการร่างกฎหมายขึ้นเป็นกรมร่างกฎหมาย สังกัดกระทรวงยุติธรรม มีอำนาจหน้าที่ร่างกฎหมายแต่โดยลำพัง และให้มีคณะกรรมการร่างกฎหมายชุดใหม่ ประกอบด้วย[21]
ที่ | ชาติ | ชื่อ | ตำแหน่ง |
---|---|---|---|
๑. | ![]() |
เจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร (หม่อมราชวงศ์ลบ สุทัศน์) | ประธานกรรมการ |
๒. | ![]() |
มหาอำมาตย์โท พระยานรเนติบัญชากิจ (ลัด เศรษฐบุตร) | กรรมการ |
๓. | ![]() |
พระยาจินดาภิรมย์ราชสภาบดี (จิตร ณ สงขลา) | กรรมการ |
๔. | ![]() |
พระยาเทพวิทุรพหุลศรุตาบดี (บุญช่วย วณิกกุล) | กรรมการ |
๕. | ![]() |
พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) | กรรมการ |
๖. | ![]() |
เรอเน กียง (René Guyon) | กรรมการ |
๗. | ![]() |
อองรี เรมี เดอ ปล็องเตอโรส (Henri Rémy de Planterose) | กรรมการ |
๘. | ![]() |
เรอเน กาโซ (René Cazeau) | กรรมการ |
การประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพแรก และคณะกรรมการร่างกฎหมายชุดที่สี่
[[ไฟล์:พระยามานวราชเสวี.jpg|170px|left|พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา)|thumb]]
การดำเนินงานโดยเอกัตภาพของกรมร่างกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การตรวจชำระร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และบรรพ ๒ เสร็จสิ้นลงใน พ.ศ. ๒๔๖๖ ทว่า ร่างทั้งสองกลับมิใช่ร่างที่สมบูรณ์แบบ เพราะเดิมนั้นจัดทำเป็นภาษาอังกฤษก่อนจะแปลเป็นภาษาไทย แต่ก็แปลมาตรงตัวเลยทีเดียว กรรมการร่างกฎหมายฝ่ายที่เป็นชาวสยามอ่านแล้วไม่เข้าใจ คณะกรรมการร่างกฎหมายจึงลงมติว่าควรจัดพิมพ์และแจกจ่ายร่างฉบับดังกล่าวให้บรรดาผู้พิพากษาสุภาตุลาการทนายความและนักกฎหมายทั้งหลายได้อ่านเสียก่อน เพื่อหยั่งฟังเสียงดูความเห็นของพวกเขา[22]
ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระบรมราชโองการให้ประกาศประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ หลักทั่วไป และบรรพ ๒ หนี้ ณ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๖ แต่ให้มีผลใช้บังคับในวันที่ ๑ มกราคม ปีถัดไป ปรากฏว่าประชาชนชาวไทยโดยเฉพาะหมู่ผู้พิพากษาและทนายความวิพากษ์วิจารณ์ว่า "อ่านแล้วไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง"[23]
ใน พ.ศ. ๒๕๒๓ พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) หนึ่งในกรรมการร่างกฎหมาย ในวัย ๙๐ ปี เปิดเผยถึงสาเหตุที่ทำให้การประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แค่บรรพแรก ๆ กินเวลาถึง ๑๕ ปี ซ้ำยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ภายหลังอีก ว่า[24]
"...ตอนที่ทำโค๊ดแพ่ง ฝรั่งเขาขอเป็นผู้ร่างให้...เขาเสนอแบบ ๓ บรรพอย่างโค๊ดฝรั่งเศส ร่างกันอยู่เป็นนานก็ยังไม่แล้วสักที จนกระทั่งผมกลับจากอังกฤษ ก็ยังไม่แล้ว...ผมได้อ่านร่างกฎหมายแล้วรู้สึกว่าไม่เข้าใจ เขียนกฎหมายไม่กินเกลียวกัน...เวลานั้นในหลวงทรงแต่งตั้งกรรมการที่เป็นเจ้านายมาเป็นกรรมการตรวจศัพท์ภาษา กรรมการท่านอ่านก็ไม่เข้าใจ แต่ไม่ได้ว่าอะไร ก็ในสมัยนั้นเรายังกลัวฝรั่งเศสอยู่เพราะมีอำนาจมาก เมื่ออ่านไม่เข้าใจ ในหลวงท่านก็ถามผมว่าจะเอาอย่างไร ที่สุดผมจึงทูลในหลวงว่า ชุดนี้เห็นจะไม่ได้การ เห็นสมควรให้มีการเปลี่ยนกรรมการร่างกฎหมายใหม่ ซึ่งอันที่จริงแล้ว คนที่มาเขียนกฎหมายให้เรานั้นมือยังไม่ถึงขั้น เวลาเขียนไปมันเลยไม่กินเกลียวกัน ในที่สุด กรรมการร่างกฎหมายต้องออกเกือบหมด เพราะเหตุที่ร่างแล้วยุ่งกันไปหมด..."
[[ไฟล์:Reichsgesetzblatt 1896 Seite 195.png|170px|right|thumb|เบือร์แกร์ลิชส์เกเซทซ์บุค ประกาศในรัฐกิจจานุเบกษาเยอรมัน ลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ค.ศ. ๑๘๙๖ (พ.ศ. ๒๔๓๙)]]
และแล้ว ใน พ.ศ. ๒๔๖๖ นั้นเอง ก็มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่างกฎหมายขึ้นใหม่อีกครั้งเป็นครั้งที่ ๔ โดยชุดนี้ประกอบด้วย มหาอำมาตย์โท พระยานรเนติบัญชากิจ (ลัด เศรษฐบุตร) เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) และเรอเน กียง (René Guyon) คณะกรรมการได้ประชุมปรึกษากันเพื่อหาวิธีการให้งานร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดำเนินไปโดยตลอดรอดฝั่ง ซึ่งครั้งนั้น พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) เสนอว่า จากเดิมที่ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศส (Code civil des Français) ซึ่งมี ๓ บรรพ เป็นแม่แบบ ควรเปลี่ยนมาใช้ เบือร์แกร์ลิชส์เกเซทซ์บุค (Bürgerliches Gesetzbuch) หรือประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน เป็นแม่แบบแทน ด้วยการลอก มินโป (民法, Minpō) หรือประมวลกฎหมายแพ่งแห่งญี่ปุ่น ที่ยกร่างโดยอาศัยเบือร์แกร์ลิชส์เกเซทซ์บุคเป็นแม่แบบก่อนแล้ว ประกอบกับการใช้ซีวิลเกเซทซ์บุค (Zivilgesetzbuch) หรือประมวลกฎหมายแพ่งสวิส เป็นแม่แบบอีกฉบับหนึ่ง แต่เพื่อไม่ให้เสียไมตรีกับทางฝรั่งเศส จึงนำเอาบทบัญญัติบางช่วงบางตอนจากประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศสและจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับเดิมที่ประกาศใน พ.ศ. ๒๔๖๖ มาประกอบด้วย[2] ที่สุดก็ได้ร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพแรก ๆ ที่สมบูรณ์ใน พ.ศ. ๒๔๖๘
ในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชกฤษฎีกาโดยพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้ยกเลิกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และบรรพ ๒ ที่ประกาศไว้แต่เดิมเสียสิ้น และให้ใช้ฉบับที่ได้ตรวจชำระใหม่แทน ตามที่ปรากฏในพระราชปรารภว่า[25]
"จำเดิมแต่ได้ออกประกาศประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และ ๒ แต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๖ เป็นต้นมา ได้มีความเห็นแนะนำมากหลายเพื่อยังประมวลกฎหมายนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
และเมื่อได้พิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เห็นเป็นการสมควรให้ตรวจชำระบทบัญญัติในบรรพ ๑ และ ๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นใหม่
จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สั่งว่า บทบัญญัติเดิมในบรรพ ๑ และ ๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ประกาศไว้แต่ ณ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๖ นั้น ให้ยกเลิกเสียสิ้น และใช้บทบัญญัติที่ได้ตรวจชำระใหม่ต่อท้ายพระราชกฤษฎีกานี้แทนสืบไป
อนึ่ง หยุด แสงอุทัย ศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้เหตุผลอีกประการหนึ่งของการยกเลิกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และบรรพ ๒ เดิม ก่อนให้ใช้ที่ตรวจชำระใหม่นั้น ว่า[26]
"...เมื่อได้นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และบรรพ ๒ ที่ถูกยกเลิกมาเปรียบเทียบกับกฎหมายปัจจุบัน ก็ปรากฏว่า กฎหมายเก่าได้ร่างขึ้นโดยเทียบเคียงจากกฎหมายฝรั่งเศสและสวิสซึ่งใช้หลัก 'สัญญา' เป็นหลักทั่วไป ซึ่งอาจถือได้ว่าล่วงพ้นสมัย ส่วนกฎหมายปัจจุบันนั้นใช้หลัก 'นิติกรรม' เป็นหลักทั่วไป โดยเทียบมาจากกฎหมายเยอรมันและญี่ปุ่น ซึ่งนับว่าเป็นกฎหมายที่ทันสมัยกว่า เพราะได้บัญญัติขึ้นหลังกฎหมายฝรั่งเศสตั้งเกือบร้อยปี นอกจากนี้ ยังปรากฏว่ามีข้อขาดตกบกพร่องในกฎหมายเก่าอีกมาก แต่ทั้งนี้ ไม่ควรจะถือว่าการทำประมวลกฎหมายฉบับที่ถูกยกเลิกไม่อำนวยประโยชน์เสียเลย เพราะได้ทำให้การทำประมวลกฎหมายแพ่ง บรรพ ๑ และบรรพ ๒ ฉบับปัจจุบัน สำเร็จได้รวดเร็วยิ่งขึ้น"
สอดคล้องกับที่ สมยศ เชื้อไทย รองศาสตราจารย์คณะเดียวกัน แสดงความคิดเห็นว่า[27]
"การเปลี่ยนแปลงครั้งหลังนี้มีข้อสังเกตว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง เพราะเป็นการตัดสินใจเปลี่ยนจากการใช้ประมวลกฎหมายตามอย่างประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศสมาใช้ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน ซึ่งระบบประมวลกฎหมายแพ่งของฝรั่งเศสและของเยอรมันแม้ต่างก็เป็นระบบซีวิลลอว์ด้วยกัน แต่ก็ยังมีนิติวิธีที่แตกต่างในข้อสำคัญหลายประการ ทั้งนี้ เพราะประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมันได้รับอิทธิพลจากสำนักประวัติศาสตร์ (Historical School) ซึ่งสำนักนี้ถือว่าส่วนสำคัญของกฎหมายนั้นมาจากขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมันจึงเน้นความสำคัญของจารีตประเพณี ตรงกันข้ามกับฝรั่งเศส ซึ่งถือกฎหมายลายลักษณ์อักษรเป็นสำคัญและมีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อจารีตประเพณี จะใช้จารีตประเพณีมาชี้ขาดตัดสินได้ก็เฉพาะกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งแล้วเท่านั้น ทั้งนี้ เพราะประมวลกฎหมายของฝรั่งเศสได้รับอิทธิพลมาจากสำนักกฎหมายธรรมชาติ (Natural Law School) และความคิดของกระบวนการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสเมือปี ค.ศ. ๑๗๘๙"
การจัดทำและประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพอื่น ๆ
ภายหลังจากการประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และบรรพ ๒ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พร้อมกับการประกาศใช้บรรพ ๓ ในเวลาเดียวกันเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ กรมร่างกฎหมายซึ่งวิวัฒนามาเป็นคณะกรรมการกฤษฎีกาในปัจจุบันก็รับหน้าที่ร่างประมวลกฎหมายสืบต่อมา โดยในการร่างบรรพอื่น ๆ นั้น แม้จะมีประมวลกฎหมายแพ่งของชาติอื่น ๆ ในระบบซีวิลลอว์เป็นแม่แบบ แต่หลักกฎหมายของระบบคอมมอนลอว์ที่เคยใช้อยู่แต่เดิมก็ยังมีอิทธิพลอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้ การรับกฎหมายของต่างชาติเข้าหาได้หยิบยกมาทั้งหมด ทว่า ได้ปรับให้เหมาะสมกับสังคมไทย[28] ดังที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสเป็นแนวทางไว้ในพระราชพิธีเปิดรัฐมนตรีสภา เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ร.ศ. ๑๑๓ (พ.ศ. ๒๔๓๗) ว่า[29]
"...บางทีก็มีอยู่เนือง ๆ ที่ท่านทั้งหลายจะต้องค้นหาเทียบเคียงกฎหมายต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ในเมืองต่างประเทศแลหัวเมืองของเมืองต่างประเทศทั้งหลายที่มีเฉพาะสำหรับกับบ้านเมืองเราอยู่นี้เป็นสำคัญเป็นนิตย์ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เราไม่ควรที่จะเปลี่ยนแปลงฤๅจะจัดการแก้ไขธรรมเนียมที่มีอยู่ทุกวันนี้ให้ใหม่ไปหมดสิ้นทีเดียว แลไม่ควรที่จะหลับตาเอาอย่างทำตามธรรมเนียมที่มีในที่อื่น หากว่าเราจะต้องค่อย ๆ ทำการให้ดีขึ้นโดยลำดับในการที่เป็นสิ่งต้องการจะจัดให้ดีแล้ว แลเลิกถอนแต่สิ่งที่เห็นเป็นแน่แท้ว่าไม่ดีฤๅเป็นของใช้ไม่ได้แล้วเท่านั้น ทุกเมืองอื่น ๆ แลในเมืองนี้เป็นสำคัญทั้งสิ้นย่อมมีธรรมเนียมหลายอย่างซึ่งเป็นที่จะต้องนับถือกัน ไม่ใช่เพราะว่าเป็นธรรมเนียมเก่าแก่มาแต่โบราณเสมอกับอายุของประเทศอย่างเดียว หากเพราะว่าเป็นธรรมเนียมที่สนิทแน่นแฟ้นแก่น้ำใจและความเชื่อมั่นของอาณาประชาชน แลเพราะว่าถ้าจะเลิกถอนธรรมเนียมเช่นนี้เสียแล้ว ก็จะไม่เป็นแต่เพียงที่จะเป็นภัยเกิดขึ้นแก่เมืองที่ตั้งอยู่ได้อย่างเดียว หากกระทำให้อาณาประชาราษฎร์ไม่เป็นผาสุกด้วย..."
บานแพนก กฎหมายตราสามดวง ประทับตราพระราชสีห์ ตราพระคชสีห์ และตราบัวแก้ว|170px|left|thumb
ดังนั้น ในการจัดทำประมวลกฎหมายในครั้งนั้น คณะกรรมการร่างกฎหมายจึงคำนึงเสมอว่าบทบัญญัติแต่ละเรื่องเหมาะสมกับสภาพสังคมไทยหรือไม่ โดยเฉพาะในการร่างบรรพ ๔ ว่าด้วยครอบครัว และบรรพ ๕ ว่าด้วยมรดก ต้องใคร่ครวญกันอย่างหนักทีเดียวเพราะครอบครัวตะวันตกและครอบครัวไทยนั้นต่างกันราวกับหน้ามือหลังมือ หลาย ๆ เรื่องจำต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนไทยไปจากเดิมก็ได้พยายามให้กระทบกระเทือนน้อยที่สุด เช่น การรับหลักการเรื่องผัวเดียวเมียเดียว (mongamy) เข้ามา ก็เพียงกำหนดว่าการจดทะเบียนสมรสซ้อน (bigamy) เป็นโมฆะ แต่ไม่ถึงกับเป็นความผิดอาญาเช่นในหลาย ๆ ประเทศ[30] และหลาย ๆ เรื่องก็รับเอาคุณธรรมของมนุษย์มาจากกฎหมายตราสามดวงมาโดยตรงทีเดียว ซึ่งไม่ปรากฏในกฎหมายของชาติใดอีกแล้ว เป็นต้นว่า ในเรื่องคดีอุทลุม ที่เป็นหลักการของความกตัญญูต่อบุพการีและผู้มีพระคุณ โดยกฎหมายตราสามดวง พระไอยการลักษณะรับฟ้อง มาตรา ๒๕ บัญญัติว่า[31]
"ผู้ใดเป็นคนอุทลุม มิได้รู้คุณบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ตา ยาย แลมันมาฟ้องร้องให้เรียกบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยายมัน ท่านให้มีโทษทวนมันด้วยลวดหนังโดยฉกรรจ์ อย่าให้มันคนร้ายนั้นดูเยี่ยงอย่างกันต่อไป แล้วอย่าให้บังคับบัญชาว่ากล่าวคดีของมันนั้นเลย"
ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รับมาบัญญัติใน บรรพ ๕ ครอบครัว, ลักษณะ ๒ บิดามารดากับบุตร, หมวด ๒ สิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาและบุตร, มาตรา ๑๕๖๒ ว่า
"ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้ แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้"
ทั้งนี้ มาตรา ๑๕๖๒ ดังกล่าวยังใช้บังคับอยู่จนปัจจุบัน และพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้นิยามของคำ "อุทลุม" ว่า "ผิดประเพณี, ผิดธรรมะ, นอกแบบ, นอกทาง, เช่น คดีอุทลุม คือคดีที่ลูกหลานฟ้องบุพการีของตนต่อศาล, เรียกลูกหลานที่ฟ้องบุพการีของตนต่อศาลว่า คนอุทลุม."[32]
เมื่อยกร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เสร็จเป็นบรรพ ๆ แล้ว ก็ได้มีการประกาศใช้ทีละบรรพไปตามลำดับ โดยบรรพ ๔ มีผลใช้บังคับครั้งแรกโดยพระราชกฤษฎีกาตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ บรรพ ๕ และบรรพ ๖ จึงมีผลใช้บังคับครั้งแรกโดยพระราชบัญญัติตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๘[33] จำเนียรกาลผ่านมาหลายศตวรรษ ตลอดช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้มีการตรวจชำระ ยกเลิก ประกาศใช้ใหม่ และแก้ไขเพิ่มเติมซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หลายครั้งตามความเหมาะสมแห่งสถานการณ์ โดยตั้งแต่เริ่มมีผลใช้บังคับครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๖๘ จวบจนถึงบัดนี้ ประมวลกฎหมายดังกล่าวมีอายุเกือบหนึ่งศตวรรษแล้ว
สถานการณ์ภายหลังการจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์สำเร็จ
[[ไฟล์:PPS 2.JPG|จอมพลแปลก พิบูลสงคราม|right|170px|thumb]]
หลังจากที่สยามได้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ครบทั้ง ๖ บรรพเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๗๗ แล้ว รัฐบาลได้จัดให้มีการประมวลกฎหมายบ้านเมืองฉบับสำคัญ ๆ สืบต่อมาอีก ได้แก่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กับทั้งได้พยายามใช้การมีกฎหมายอันทันสมัยทัดเทียมนานาอารยประเทศนี้เจรจาขอยกเลิกบรรดาสนธิสัญญาเสียเปรียบทั้งหลายเสมอมา ซึ่งการเจรจาก็มิใช่เรื่องง่ายเลย ต้องขอบคุณสหรัฐอเมริกาที่มีน้ำใจกว้างขวางช่วยเหลือสยามในการนี้ทุกเมื่อ และยังได้ส่ง เอดเวิร์ด เฮนรี สตรอเบิล (Edward Henry Strobel) นักการทูตและนักวิชาการด้านกฎหมายระหว่างประเทศ เข้ามาเป็นกำลังสำคัญให้ไทย ทว่า ประเทศฝรั่งเศสนั้นได้พยายามใช้ชั้นเชิงทางการทูตบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลีกการยกเลิกสนธิสัญญากับสยาม ส่วนประเทศอังกฤษนั้นก็ไม่ใคร่จะให้มีการยกเลิกเช่นกัน แต่ใช้ชั้นเชิงที่แนบเนียนกว่าฝรั่งเศส ทำให้รัฐบาลสยามต้องสู้รบปรบมือทางด้านนโยบายกับสองประเทศนี้เป็นเวลานาน[34] ในที่สุด สยามก็ได้รับเอกราชทางการศาลคืนมาและยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของชาวต่างชาติเป็นผลสำเร็จใน พ.ศ. ๒๔๘๑ ภายใต้รัฐบาลของ จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศแปลก พิบูลสงคราม[35]
อย่างไรก็ดี แม้ว่าการจัดทำประมวลกฎหมายจะทำให้ประเทศสยามต้องเปลี่ยนระบบกฎหมายที่รับเข้ามาในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากระบบคอมมอนลอว์ (Common Law System) อันกฎหมายเกิดจากบรรทัดฐานที่ศาลพิพากษากำหนดไว้ หรือที่สมัยนั้นเรียก "วิธีกฎหมายจารีตธรรม" เป็นระบบซีวิลลอว์ (Civil Law System) อันกฎหมายเกิดจากกระบวนการนิติบัญญัติ หรือที่ในสมัยนั้นเรียก "วิธีกฎหมายประมวลธรรม" (Code System) แต่ในทางปฏิบัติที่ผ่านมา นักกฎหมายไทยยังติดอยู่กับนิติวิธีทางระบบคอมมอนลอว์อยู่มาก ซึ่งบรรดาผู้ยกร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เคยตระหนักถึงและแสดงความห่วงใยประเด็นนี้ไว้อยู่แล้ว ดังที่ ชอร์ช ปาดู (Georges Padoux) มีหนังสือถึง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ และพระองค์ก็ทรงเห็นด้วย กับทั้งได้มีลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ กราบบังทูลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า[36]
"ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานนำหนังสือความเห็นของมองสิเออปาดูซ์ว่าด้วยวิธีจัดการศึกษากฎหมายขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
แลเค้าความเห็นอันนี้ มองซิเออปาดูซ์ได้เขียนยื่นแก่เสนาบดียุติธรรมไว้แล้วแต่รัตนโกสินทรศก ๑๒๙ แต่หามีผลสำเร็จประการใดไม่ ข้าพระพุทธเจ้าได้ความสันนิษฐานเข้าใจเอาเองว่าจะเป็นด้วยประชุมแห่งเหตุหลายประการ จะรับพระราชทานสาธกแต่เหตุสำคัญอันหนึ่งว่า จำเดิมแต่รัฐบาลได้ปรารภร่างประมวลอาญาจนถึงได้ประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกา พระเจ้าพี่ยาเธอกรมหลวงราชบุรีผู้ทรงตำแหน่งเสนาบดีในกาลนั้นไม่ทรงเห็นชอบด้วยวิธีกฎหมายประมวลธรรม (Code System) ซึ่งใช้อยู่ในคอนติเนนต์ยุโรป ฝ่ายเธอเป็นเนติบัณฑิตสำนักอังกฤษซึ่งใช้วิธีกฎหมายจารีตธรรม (Common Law System) ความปรากฏในครั้งนั้นอยู่บ้างว่า เธอเอาพระองค์ออกห่างจากการตรวจสอบแก้ไขประมวลอาญา แลได้กราบบังคมทูลพระกรุณาคัดค้านต้นร่างนั้น ถึงแก่ขอให้เลิกกรรมการฝรั่งเศสซึ่งร่างประมวลกฎหมายนั้นเสีย แลอาสาว่าจะควบคุมตั้งกรรมการขึ้นใหม่เพื่อร่างประมวลกฎหมายแพ่งอาญาให้ลงกับทำนองวิธีจารีตธรรม (Base on Common Law) ข้าพระพุทธเจ้ายอมรับอยู่ว่า การที่เธอทรงคัดค้านดังนี้นั้นเป็นความจริงใจด้วยมุ่งหมายความเจริญแก่พระนคร การอันนี้ถ้าทำได้สำเร็จจะเป็นอัศจรรย์มิใช่น้อย เพราะว่าการที่จะเอาจารีตธรรมอันเป็นพื้นประเพณีบ้านเมืองมาทำประมวลเป็นบทเป็นหมวดลงได้นั้นมิใช่ง่าย นิติบัณฑิตในสำนักอังกฤษและอเมริกาเองก็ยังแก่งแย่งกัน ยังมิอาจเห็นปรองดองลงกันได้ มิพักต้องกล่าวถึงว่าจะเป็นผลสำเร็จทันตาเห็น...
พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ผู้ทรงพระปัญญาญาณหยั่งเห็นกาลใกล้ไกล ทรงพระราชดำริชั่งได้ชั่งเสียในวิธีกฎหมายทั้ง ๒ นั้นแล้ว พระราชทานพระราชวินิจฉัยไว้เป็นเด็ดขาดว่า พระราชกำหนดกฎหมายแก่งประเทศเราอันโบราณกระษัตราธิราชเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้สืบ ๆ มา มีบทมาตราเป็นลักษณะหมวดหมู่เป็นทำนองเดียวกันกับวิธีกฎหมายประมวลธรรม (System of Codified Law) ซึ่งใช้อยู่ในคอนติเนนต์นั้น ถ้าจะคุมเข้ากันแลผ่อนผันแก้ไขก็จะลงกันได้โดยสะดวก...
ครั้นเมื่อข้าพระพุทธเจ้ากับกรรมการมีชื่อรับพระราชทานประชุมปรึกษาตรวจสอบแก้ร่างประมวลแพ่งจนจะสำเร็จลงในเดือนธันวาคมนั้น มองสิเออปาดูซ์จึงได้ร้องขอให้ข้าพระพุทธเจ้าพิจารณาพิเคราะห์ถึงวิธีศึกษาวิชากฎหมายว่า บัดนี้ถึงเวลาจำเป็นแล้วที่จะพึงดำริจัดการให้เข้าทำนองวิธีสั่งสอนฝ่ายคอนติเนนต์ คือ กฎหมายประมวลธรรม สำแดงเหตุว่าวิธีทั้ง ๒ ผิดกันหลายประการ แลรัฐบาลจะออกประกาศให้ใช้กฎหมายวิธีประมวลธรรมนี้ แต่ผู้พิพากษาตุลาการจะไม่ชำนาญในวิธีนั้นจะบังคับอรรถคดีให้ถูกต้องโดยทำนองมิได้ ย่อมจะบังเกิดเป็นความลำบากใหญ่แก่ราชการศาลสถิตยุติธรรม ข้าพระพุทธเจ้าได้สนทนาปรึกษาด้วยมองสิเออปาดูซ์กับพระยาจักรปาณีเป็นต้น เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า ถึงกาลจำเป็นจะทิ้งรารอไว้ดังนี้มิได้ ควรจะตระเตรียมดัดแปลงการโรงเรียนให้ลงร่องลงรอยกลมกลืนกับทำนองนี้จึงจะทันท่วงที ข้าพระพุทธเจ้าจึงสั่งให้มองสิเออปาดูซ์รวบรวมความเห็นที่ได้เขียนไว้เดิม ตกเติมเพิ่มข้อความลงให้กระจ่างเป็นฉบับเดียวกันมายื่น เพื่อได้นำขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา ขอพระราชทานเรียนพระราชปฏิบัติ..."
แม้บรรดากรรมการร่างกฎหมายจะแสดงความเป็นห่วงเพียงนั้น แต่อิทธิพลของระบบคอมมอนลอว์ยังส่งผลต่อประเทศไทยมาก ทำให้การใช้กฎหมายไทยเป็นสันเป็นดอนตลอดมา ดังที่ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ ศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า[37]
"...ตลอดเวลาที่ผ่านมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน ก็ยังคงมีปัญหาในการทำความเข้าใจหลักกฎหมายที่ปรากฏอยู่เบื้องหลังตัวบท การนำหลักกฎหมายคอมมอนลอว์มาตีความประมวลกฎหมายยังปรากฏอยู่ในคำสอนทางตำราและในแนวคำพิพากษาของศาล ความเข้าใขที่คลาดเคลื่อนในหลาย ๆ เรื่องส่งผลโดยตรงให้นักกฎหมายไทยส่วนหนึ่งใช้ประมวลกฎหมายอย่างขาดความเข้าใจที่แท้จริง
ในอีกมุมหนึ่ง การรับกฎหมายสมัยใหม่จากตะวันตกและละเลยคุณค่าที่มีอยู่ในกฎหมายไทยเดิม โดยเฉพาะความคิดที่ว่ากฎหมายคือธรรม แล้วหันมายึดถือความคิดแบบ Legal Positivism ที่ถือว่า กฎหมายคือคำสั่งของผู้ปกครองแผ่นดิน ยิ่งส่งผลโดยตรงให้นักกฎหมายกลายเป็นคนคับแคบ เดินตามผู้มีอำนาจ ตีความตามตัวอักษร คำตอบที่ออกมาในหลายเรื่องจึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในสังคม หนักไปกว่านั้นก็คือ การแยกว่ากฎหมายกับความยุติธรรมเป็นคนละเรื่องกัน
รายการการประกาศใช้และแก้ไขเพิ่มเติม
การประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
บรรพ ๑ หลักทั่วไป 20px | |||
ครั้งที่ | กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ | เหตุผลในการประกาศใช้ | วันใช้บังคับ |
---|---|---|---|
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ | ทรงพระราชดำริว่า กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ใช้อยู่เวลานี้ยังกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง สมควรจะนำมารวมรวมไว้แห่งเดียวกัน และจัดเข้าเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้สมแก่กาลสมัย ความเจริญและพาณิชยกรรมแห่งบ้านเมือง และความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ส่วนหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งศาลยุติธรรมได้เคยยกขึ้นปรับสัตย์ตัดสินคดีเนือง ๆ มา โดยธรรมเนียมประเพณีอันควรแก่ยุติธรรมนั้น สมควรจะบัญญัติไว้ให้เป็นหลักฐาน และกิจการบางอย่างในส่วนแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งไม่มีในกฎหมายที่ใช้อยู่ ณ บัดนี้ ก็ควรจะบัญญัติขึ้นไว้ด้วย และทรงพระราชดำริว่า ทางที่จะให้ถึงซึ่งผลอันนี้ ควรจะประมวลและบัญญัติบทกฎหมายที่กล่าวแล้ว เข้าเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามแบบอย่างซึ่งประเทศอื่น ๆ ได้ทำมา อนึ่ง ทรงพระราชดำริว่า การชำระประมวลกฎหมายซึ่งทำอยู่ ณ บัดนี้ ได้ดำเนินไปมากแล้ว สมควรจะประกาศให้ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ส่วนที่สำคัญและเป็นประโยชน์ตอนหนึ่งก่อนได้ ส่วนอื่น ๆ เมื่อสำเร็จบริบูรณ์จะได้ประกาศให้ใช้เพิ่มเติมในภายหลัง |
วันประกาศใช้ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๖ วันใช้ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘ (พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บรรพ ๓ และเลื่อนเวลาใช้บรรพ ๑ และ ๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒ "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๑ และ ๒ ที่ได้ประกาศให้ใช้ในวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๗ นั้น ให้เลื่อนไปใช้ในวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘") | |
พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และบรรพ ๒ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ (ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๔๒/หน้า ๑/๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘) |
จำเดิมแต่ได้ออกประกาศประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และ ๒ แต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๖ เป็นต้นมา ได้มีความเห็นแนะนำมากหลายเพื่อยังประมวลกฎหมายนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเมื่อได้พิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เห็นเป็นการสมควรให้ตรวจชำระบทบัญญัติในบรรพ ๑ และ ๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นใหม่ |
วันประกาศพระราชกฤษฎีกา ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ วันใช้ประมวลกฎหมาย ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘ | |
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕ (ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๖๙/ตอนที่ ๔๒/หน้า ๑/๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๕) |
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากบทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งได้ใช้บังคับโดยพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๑ และบรรพ ๒ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานและบทบัญญัติหลายประการล้าสมัย ไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน สมควรปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ | วันใช้พระราชบัญญัติ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๕ (มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป) วันใช้ประมวลกฎหมาย ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๕ (มาตรา ๓) | |
บรรพ ๒ หนี้ 20px | |||
ครั้งที่ | กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ | เหตุผลในการประกาศใช้ | วันใช้บังคับ |
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ | ทรงพระราชดำริว่า กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ใช้อยู่เวลานี้ยังกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง สมควรจะนำมารวมรวมไว้แห่งเดียวกัน และจัดเข้าเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้สมแก่กาลสมัย ความเจริญและพาณิชยกรรมแห่งบ้านเมือง และความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ส่วนหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งศาลยุติธรรมได้เคยยกขึ้นปรับสัตย์ตัดสินคดีเนือง ๆ มา โดยธรรมเนียมประเพณีอันควรแก่ยุติธรรมนั้น สมควรจะบัญญัติไว้ให้เป็นหลักฐาน และกิจการบางอย่างในส่วนแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งไม่มีในกฎหมายที่ใช้อยู่ ณ บัดนี้ ก็ควรจะบัญญัติขึ้นไว้ด้วย และทรงพระราชดำริว่า ทางที่จะให้ถึงซึ่งผลอันนี้ ควรจะประมวลและบัญญัติบทกฎหมายที่กล่าวแล้ว เข้าเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามแบบอย่างซึ่งประเทศอื่น ๆ ได้ทำมา อนึ่ง ทรงพระราชดำริว่า การชำระประมวลกฎหมายซึ่งทำอยู่ ณ บัดนี้ ได้ดำเนินไปมากแล้ว สมควรจะประกาศให้ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ส่วนที่สำคัญและเป็นประโยชน์ตอนหนึ่งก่อนได้ ส่วนอื่น ๆ เมื่อสำเร็จบริบูรณ์จะได้ประกาศให้ใช้เพิ่มเติมในภายหลัง |
วันประกาศใช้ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๖ วันใช้ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘ (พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บรรพ ๓ และเลื่อนเวลาใช้บรรพ ๑ และ ๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒ "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๑ และ ๒ ที่ได้ประกาศให้ใช้ในวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๗ นั้น ให้เลื่อนไปใช้ในวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘") | |
พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และบรรพ ๒ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ (ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๔๒/หน้า ๑/๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘) |
จำเดิมแต่ได้ออกประกาศประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และ ๒ แต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๖ เป็นต้นมา ได้มีความเห็นแนะนำมากหลายเพื่อยังประมวลกฎหมายนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเมื่อได้พิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เห็นเป็นการสมควรให้ตรวจชำระบทบัญญัติในบรรพ ๑ และ ๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นใหม่ |
วันประกาศพระราชกฤษฎีกา ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ วันใช้ประมวลกฎหมาย ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘ | |
บรรพ ๓ เอกเทศสัญญา 20px | |||
ครั้งที่ | กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ | เหตุผลในการประกาศใช้ | วันใช้บังคับ |
พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บรรพ ๓ และเลื่อนเวลาใช้บรรพ ๑ และ ๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ | โดยที่การประมวลกฎหมายบ้านเมืองได้ดำเนินมาถึงคราวที่ควรใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๓ | วันประกาศพระราชกฤษฎีกา ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ วันใช้ประมวลกฎหมาย ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘ | |
พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๓ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ (ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๔๕/หน้า ๑/๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๑) |
จำเดิมแต่ได้ออกประกาศประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๓ แต่วันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๖๗ เป็นต้นมา ได้มีความเห็นแนะนำมากหลายเพื่อยังประมวลกฎหมายนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเมื่อได้พิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เห็นเป็นการสมควรให้ตรวจชำระบทบัญญัติในบรรพ ๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นใหม่ |
วันประกาศพระราชกฤษฎีกา ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๑ วันใช้พระราชกฤษฎีกา ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๑ วันใช้ประมวลกฎหมาย ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๑ | |
บรรพ ๔ ทรัพย์สิน 20px | |||
ครั้งที่ | กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ | เหตุผลในการประกาศใช้ | วันใช้บังคับ |
พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ ๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๔๗/หน้า ๔๔๒/๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๓) |
โดยที่การประมวลกฎหมายบ้านเมืองได้ดำเนินมาถึงคราวที่ควรประกาศใช้บรรพ ๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ | วันประกาศพระราชกฤษฎีกา ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๓ วันใช้พระราชกฤษฎีกา ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๓ วันใช้ประมวลกฎหมาย ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๓ | |
บรรพ ๕ ครอบครัว 20px | |||
ครั้งที่ | กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ | เหตุผลในการประกาศใช้ | วันใช้บังคับ |
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ (ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒/หน้า ๔๗๔/๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘) |
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า การประมวลกฎหมายแห่งบ้านเมืองได้ดำเนินมาถึงคราวที่ควรใช้บรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ | วันใช้พระราชบัญญัติ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ (มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป) วันใช้ประมวลกฎหมาย ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ (มาตรา ๓) | |
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖ (ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๐/ตอนที่ ๓๒/หน้า ๑๐๘๙/๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๖) |
โดยที่เห็นสมควรขยายการใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้ทั่วถึง เพื่อความมั่นคงและวัฒนธรรมแห่งชาติ และโดยที่มีเหตุฉุกเฉินซึ่งจะเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันท่วงทีมิได้ |
วันใช้พระราชกำหนด ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๖ ( มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชกำหนดนี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป) | |
พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖ พุทธศักราช ๒๔๘๖ (ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๐/ตอนที่ ๔๗/หน้า ๑๓๔๓/๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๖) |
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นสมควรอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖ ตามความในมาตรา ๕๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย | วันใช้พระราชบัญญัติ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๖ (มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป) | |
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙ (ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๓/ตอนที่ ๑๒๙/ฉบับพิเศษ/หน้า ๔/๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙) |
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๘ วรรคสอง บัญญัติว่าชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน จำต้องแก้ไขบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น | วันใช้พระราชบัญญัติ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ (มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป) วันใช้ประมวลกฎหมาย ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ (มาตรา ๓) | |
บรรพ ๖ มรดก 20px | |||
ครั้งที่ | กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ | เหตุผลในการประกาศใช้ | วันใช้บังคับ |
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ (ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒/หน้า ๕๒๙/๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘) |
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า การประมวลกฎหมายแห่งบ้านเมืองได้ดำเนินมาถึงคราวที่ควรใช้บรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ | วันใช้พระราชบัญญัติ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ (มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป) วันใช้ประมวลกฎหมาย ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ (มาตรา ๓) | |
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖ (ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๐/ตอนที่ ๓๒/หน้า ๑๐๙๒/๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๖) |
โดยที่เห็นสมควรขยายการใช้บทบัญญัติบรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้ทั่วถึง เพื่อความมั่นคงและวัฒนธรรมแห่งชาติ และโดยที่มีเหตุฉุกเฉินซึ่งจะเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันท่วงทีมิได้ |
วันใช้พระราชกำหนด ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๖ (มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชกำหนดนี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป) | |
พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖ พุทธศักราช ๒๔๘๖ (ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๐/ตอนที่ ๔๗/หน้า ๑๓๔๕/๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๖) |
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นสมควรอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖ ตามความในมาตรา ๕๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย | วันใช้พระราชบัญญัติ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๖ (มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป) |
การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
โครงสร้าง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประกอบด้วยบทบัญญัติ ๖ บรรพ ซึ่งเป็นการจัดหมวดหมู่อย่าง เบือร์แกร์ลิชส์เกเซทซ์บุค (Bürgerliches Gesetzbuch) หรือประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน ที่มี ๕ บรรพ แต่ไทยได้แยกเอาเรื่องหนี้ลักษณะเฉพาะจากบรรพ ๒ หนี้ มาไว้เป็นบรรพ ๓ เอกเทศสัญญา อีกบรรพหนึ่ง[38] โดยบรรพทั้งหกของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีดังนี้
- บรรพ ๑ หลักทั่วไป ประกอบด้วยบทบัญญัติ ๖ ลักษณะ ดังนี้
- ลักษณะ ๑ บทเบ็ดเสร็จทั่วไป
- ลักษณะ ๒ บุคคล
- ลักษณะ ๓ ทรัพย์
- ลักษณะ ๔ นิติกรรม
- ลักษณะ ๕ ระยะเวลา
- ลักษณะ ๖ อายุความ
- บรรพ ๒ หนี้ ประกอบด้วยบทบัญญัติ ๕ ลักษณะ ดังนี้
- ลักษณะ ๑ บทเบ็ดเสร็จทั่วไป
- ลักษณะ ๒ สัญญา
- ลักษณะ ๓ จัดการงานนอกสั่ง
- ลักษณะ ๔ ลาภมิควรได้
- ลักษณะ ๕ ละเมิด
- บรรพ ๓ เอกเทศสัญญา ประกอบด้วยบทบัญญัติ ๒๓ ลักษณะ ดังนี้
- ลักษณะ ๑ ซื้อขาย
- ลักษณะ ๒ แลกเปลี่ยน
- ลักษณะ ๓ ให้
- ลักษณะ ๔ เช่าทรัพย์
- ลักษณะ ๕ เช่าซื้อ
- ลักษณะ ๖ จ้างแรงงาน
- ลักษณะ ๗ จ้างทำของ
- ลักษณะ ๘ รับขน
- ลักษณะ ๙ ยืม
- ลักษณะ ๑๐ ฝากทรัพย์
- ลักษณะ ๑๑ ค้ำประกัน
- ลักษณะ ๑๒ จำนอง
- ลักษณะ ๑๓ จำนำ
- ลักษณะ ๑๔ เก็บของในคลังสินค้า
- ลักษณะ ๑๕ ตัวแทน
- ลักษณะ ๑๖ นายหน้า
- ลักษณะ ๑๗ ประนีประนอมยอมความ
- ลักษณะ ๑๘ การพนันและขันต่อ
- ลักษณะ ๑๙ บัญชีเดินสะพัด
- ลักษณะ ๒๐ ประกันภัย
- ลักษณะ ๒๑ ตั๋วเงิน
- ลักษณะ ๒๒ หุ้นส่วนและบริษัท
- ลักษณะ ๒๓ สมาคม
- บรรพ ๔ ทรัพย์สิน ประกอบด้วยบทบัญญัติ ๘ ลักษณะ ดังนี้
- ลักษณะ ๑ บทเบ็ดเสร็จทั่วไป
- ลักษณะ ๒ กรรมสิทธิ์
- ลักษณะ ๓ ครอบครอง
- ลักษณะ ๔ ภาระจำยอม
- ลักษณะ ๕ อาศัย
- ลักษณะ ๖ สิทธิเหนือพื้นดิน
- ลักษณะ ๗ สิทธิเก็บกิน
- ลักษณะ ๘ ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์
- บรรพ ๕ ครอบครัว ประกอบด้วยบทบัญญัติ ๓ ลักษณะ ดังนี้
- ลักษณะ ๑ การสมรส
- ลักษณะ ๒ บิดามารดากับบุตร
- ลักษณะ ๓ ค่าอุปการะเลี้ยงดู
- บรรพ ๖ มรดก ประกอบด้วยบทบัญญัติ ๖ ลักษณะ ดังนี้
- ลักษณะ ๑ บทเบ็ดเสร็จทั่วไป
- ลักษณะ ๒ สิทธิโดยธรรมในการรับมรดก
- ลักษณะ ๓ พินัยกรรม
- ลักษณะ ๔ วิธีจัดการและปันทรัพย์มรดก
- ลักษณะ ๕ มรดกที่ไม่มีผู้รับ
- ลักษณะ ๖ อายุความ
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
[[ไฟล์:Charles Montesquieu.jpg|170px|thumb|right|มงแตสกีเยอ (Montesquieu) ใน ค.ศ. ๑๗๒๘ (พ.ศ. ๒๒๗๑)]]
กฎหมายไทยแต่โบร่ำโบราณ โดยเฉพาะกฎหมายตราสามดวงนั้น มักระบุเหตุผลที่ตราบทบัญญัตินั้น ๆ ไว้ในบทบัญญัติด้วย เช่น กฎหมายตราสามดวง กฎหมายลักษณะผัวเมีย มาตรา ๖๗ ว่า "ภรรยาสามีมิชอบเนื้อพึงใจกัน จะหย่ากันไซร้ ตามน้ำใจเขา เหตุว่าเขาทั้งสองสิ้นบุญกันแล้ว จะจำใจให้อยู่ด้วยกันนั้นมิได้"[39] ซึ่งการให้เหตุผลในตัวบทกฎหมายด้วยเช่นนี้ยังเป็นที่นิยมมาถึงในสมัยร่างกฎหมายลักษณะอาญาและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย ขณะที่การบัญญัติกฎหมายในปัจจุบันจะไม่พึงกระทำเช่นนั้นเด็ดขาด ดังที่ ชาร์ล-ลูอี เดอ เซอกงดา ผู้เป็นบารงแห่งแบรดและมงแตสกีเยอ (Charles-Louis de Secondat, baron de La Brède et de Montesquieu) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "มงแตสกีเยอ" (Montesquieu) นักคิดนักเขียนทางการเมืองชาวฝรั่งเศส ว่า[40] [41]
"กฎหมายนั้นไม่สมควรจะบัญญัติในเชิงอภิปราย การให้เหตุผลรายละเอียดแห่งการบัญญัติกฎหมายนั้น ๆ เป็นเรื่องเสี่ยงภัยโดยแท้ เพราะการให้เหตุผลดังกล่าวย่อมเปิดช่องให้เกิดการโต้แย้งขึ้นได้"
หยุด แสงอุทัย ศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการให้เหตุผลในตัวบทกฎหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่า[42]
"กฎหมายที่บัญญัติขึ้นในสมัยเก่า ๆ นั้น ในบางบทบางมาตราได้เขียนอธิบายเหตุผลของการที่บัญญัติข้อความเช่นนั้นไว้ในบทมาตรานั้นเอง แม้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เองก็เคยเขียนเหตุผลไว้ในบทมาตราเหมือนกัน แต่ผู้เขียนจำได้เพียงมาตราเดียว คือ มาตรา ๒๐๔ ซึ่งใช้คำว่า '...ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัด เพราะเขาเตือนแล้ว' เป็นเหตุผลซึ่งไม่สมควรจะใส่ไว้ในกฎหมาย สำหรับบทกฎหมายนั้นความสำคัญอยู่ที่ว่าลูกหนี้ผิดนัดหรือไม่เท่านั้น ตามที่กล่าวมาแล้วหมายความว่า ไม่สมควรที่บทมาตราต่าง ๆ จะบัญญัติถึงเหตุผลของการที่มีบทบัญญัตินั้นขึ้น เพราะการให้เหตุผลของการที่ควรมีบทบัญญัติขึ้นนี้ควรจะเป็นเรื่องที่ผู้เสนอกฎหมายที่จะอธิบายต่อองค์การที่จะอนุมัติให้บัญญัติกฎหมายมากกว่า เช่น เป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่เสนอกฎหมายต่อสภาผู้แทนฯ ที่จะอธิบายเหตุผลการบัญญัติกฎหมายนั้นให้สภาผู้แทนฯ ทราบ เป็นต้น แต่การที่จะไปเขียนไว้ในบทมาตรานั้นย่อมจะเป็นการฟุ่มเฟือย บทมาตราต่าง ๆ ของกฎหมายควรจะมีข้อความสั้น ๆ กะทัดรัด อ่านง่าย เข้าใจง่าย เช่น จะต้องห้ามการอย่างไรก็เขียนห้ามไว้ ไม่จำเป็นต้องเขียนอธิบายว่า ทำไมจึงต้องมีบทบัญญัติห้ามการกระทำเช่นว่านั้น ข้อที่ควรระลึกมีว่า อย่าเอาเหตุผลในการบัญญัติกฎหมายไปปนกับเหตุผลของข้อความซึ่งอาจใส่เพื่อความชัดเจนได้ เช่น เมื่อพูดถึงวิกลจริต ก็อาจเขียนเหตุแห่งการวิกลจริตลงได้..."
ทั้งนี้ มาตรา ๒๐๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังที่ หยุด แสงอุทัย อ้างถึงนั้น มีข้อความเต็ม ๆ ดังต่อไปนี้ โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ตราบทุกวันนี้
"ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัด เพราะเขาเตือนแล้ว
ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว"
เชิงอรรถ
- ^ a b แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๐๔.
- ^ a b ชาญชัย แสวงศักดิ์, ๒๕๓๙ : ๖๘.
- ^ สมยศ เชื้อไทย, ๒๕๕๑ : ๑๑.
- ^ ราชกิจจานุเบกษา; ๒๔๕๑, ๑ มิถุนายน : ออนไลน์.
- ^ สมยศ เชื้อไทย, ๒๕๕๑ : ๑๑-๑๒.
- ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๒๘-๒๒๙.
- ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๒๙.
- ^ a b แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๓๐.
- ^ เรอเน่ กียอง, ๒๕๓๖ : ๑๐๗.
- ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๓๐-๒๓๑.
- ^ ชาญชัย แสวงศักดิ์, ๒๕๓๙ : ๕๔-๕๕.
- ^ เอกสารกระทรวงยุติธรรม รัชกาลที่ ๖ หมายเลข ย ๑๒๑/๒ฯ.
- ^ ชาญชัย แสวงศักดิ์, ๒๕๓๙ : ๕๒.
- ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๓๑.
- ^ ชาญชัย แสวงศักดิ์, ๒๕๓๙ : ๕๖.
- ^ เรอเน่ กียอง, ๒๕๓๖ : ๑๐๕-๑๐๖.
- ^ คำแปลต้นฉบับใช้คำว่า "มลรัฐ" อย่างไรก็ดี คำนี้เลิกใช้แล้วตามประกาศของราชบัณฑิตยสถาน ดู รัฐในสหรัฐอเมริกา
- ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๓๒.
- ^ ชาญชัย แสวงศักดิ์, ๒๕๓๙ : ๕๗-๕๘.
- ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๓๓.
- ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๓๓.
- ^ ชาญชัย แสวงศักดิ์, ๒๕๓๙ : ๖๐.
- ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาส, ๒๕๕๒ : ๒๓๕.
- ^ ภาควิชานิติศึกษาทางสังคม ปรัชญา และประวัติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์; ๒๕๒๓, ๑๒ กันยายน : ๒-๔.
- ^ ราชกิจจานุเบกษา; ๒๔๖๘, ๑๑ พฤศจิกายน : ออนไลน์.
- ^ หยุด แสงอุทัย; ๒๕๐๗, ๖ กุมภาพันธ์ : ๑๒๙.
- ^ สมยศ เชื้อไทย, ๒๕๕๑ : ๑๒.
- ^ สมยศ เชื้อไทย, ๒๕๕๑ : ๑๒-๑๓.
- ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๕๖.
- ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๕๖-๒๕๗.
- ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๕๗.
- ^ ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๑ : ออนไลน์.
- ^ สมยศ เชื้อไทย, ๒๕๕๑ : ๑๙-๒๑.
- ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๔๒.
- ^ ธานินทร์ กรัยวิเชียร, ๒๕๑๗ : ๖.
- ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๔๓-๒๔๔.
- ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๔๔-๒๔๕.
- ^ สมยศ เชื้อไทย, ๒๕๕๑ : ๑๓.
- ^ ธานินทร์ กรัยวิเชียร และอภิชน จันทรเสน, ๒๕๕๐ : ๑๙๗-๑๙๘.
- ^ Carleton Kemp Allen, 1964 : 482-483.
- ^ ธานินทร์ กรัยวิเชียร และอภิชน จันทรเสน, ๒๕๕๐ : ๑๙๘.
- ^ หยุด แสงอุทัย, ๒๔๙๒ : ๓๒๓-๓๒๔.
อ้างอิง
ภาษาไทย
หนังสือ
- ชาญชัย แสวงศักดิ์. (๒๕๓๙). อิทธิพลของฝรั่งเศสในการปฏิรูปกฎหมายไทย. กรุงเทพฯ : นิติธรรม. ISBN 9747761577.
- ธานินทร์ กรัยวิเชียร และอภิชน จันทรเสน. (๒๕๕๐). คำแนะนำนักศึกษากฎหมาย. (พิมพ์ครั้งที่ ๕). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ISBN 9789745719941.
- ราชบัณฑิตยสถาน.
- (๒๕๔๓). พจนานุกรมศัพท์กฎหมายไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์. ISBN 9748123529.
- (๒๕๔๔). พจนานุกรมศัพท์กฎหมายไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (พิมพ์ครั้งที่ ๓). กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์. ISBN 9748123758.
- สมยศ เชื้อไทย. (๒๕๕๑). ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉบับใช้เรียน. (พิมพ์ครั้งที่ ๕). กรุงเทพฯ : วิญญูชน. ISBN 9789742886370.
- แสวง บุญเฉลิมวิภาส. (๒๕๕๒). ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย. (พิมพ์ครั้งที่ ๘). กรุงเทพฯ : วิญญูชน. ISBN 9789742886257.
หนังสือพิมพ์
- ราชกิจจานุเบกษา.
- (๒๔๕๑, ๑ มิถุนายน). กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
- (๒๔๖๘, ๑๑ พฤศจิกายน). พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และ ๒ ที่ได้ตรวจชำระใหม่. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
- (๒๔๗๑, ๑ มกราคม). พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๓ ที่ได้ตรวจชำระใหม่. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
- (๒๔๗๓, ๑๘ มีนาคม). พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ ๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
- (๒๔๗๘, ๒๙ พฤษภาคม). พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
- (๒๔๗๘, ๗ มิถุนายน). พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
- (๒๔๗๘, ๒๘ กรกฎาคม). แก้คำผิด ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๑๓ วันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘ พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. ๒๔๗๗. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
- (๒๔๘๖, ๑๙ มิถุนายน). พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
- (๒๔๘๖, ๑๙ มิถุนายน). พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
- (๒๔๘๖, ๑๔ กันยายน). พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖ พุทธศักราช ๒๔๘๖. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
- (๒๔๘๖, ๑๔ กันยายน). พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖ พุทธศักราช ๒๔๘๖. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
- (๒๕๑๙, ๒๖ สิงหาคม). ประกาศสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ... . [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
- (๒๕๑๙, ๒๗ กันยายน). ประกาศ วุฒิสภา เรื่อง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ... . [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
- (๒๕๑๙, ๑๕ ตุลาคม). พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
- (๒๕๓๕, ๒๑ มกราคม). ประกาศสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา เรื่อง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ... และร่างพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... . [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
- (๒๕๓๕, ๘ เมษายน). พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
บทความ
- ธานินทร์ กรัยวิเชียร. (๒๕๑๗). "อิทธิพลของกฎหมายอังกฤษในระบบกฎหมายไทย". วารสารนิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, (ปีที่ ๑, ฉบับที่ ๒).
- เรอเน่ กียอง. (๒๕๓๖). "การตรวจชำระและร่างประมวลกฎหมายในกรุงสยาม". (วิษณุ วรัญญู แปล). วารสารนิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, (ปีที่ ๒๓, ฉบับที่ ๑).
- หยุด แสงอุทัย.
- (๒๔๙๒). "การร่างกฎหมาย". นิติสาสน์, (ปีที่ ๒๐, เล่ม ๒).
- (๒๕๐๗, ๖ กุมภาพันธ์). "การร่างกฎหมายในประเทศไทย". วารสารทนายความ, (ปีที่ ๖).
แหล่งข้อมูลออนไลน์
- ราชบัณฑิตยสถาน.
- สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. (๒๕๕๑, ๑๐ มีนาคม). ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๑๒ กันยายน ๒๕๕๒).
เอกสารอื่น
- ภาควิชานิติศึกษาทางสังคม ปรัชญา และประวัติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. (๒๕๒๓, ๑๒ กันยายน). บันทึกคำสัมภาษณ์พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา). (เอกสารในห้องสมุดสัญญาธรรมศักดิ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนยืท่าพระจันทร์ กรุงเทพมหานคร).
- เอกสารกระทรวงยุติธรรม รัชกาลที่ ๖ หมายเลข ย ๑๒๑/๒ หนังสือเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมกราบบังคมทูล เรื่อง ระเบียบวิธีการในการร่างกฎหมาย. (เอกสารรักษาไว้ที่กระทรวงยุติธรรม กรุงเทพมหานคร).
ภาษาต่างประเทศ
- Carleton Kemp Allen. (1964). Law in the making. London : Oxford University Press.
ดูเพิ่ม
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ตัวบท)
- Civil and Commercial Code - English Translation by the Office of Justice Affairs, Ministry of Justice of Thailand (Current to 2009)