Jump to content

User:Clumsily/Civil and Commercial Code

From Wikipedia, the free encyclopedia
This is an old revision of this page, as edited by Clumsily (talk | contribs) at 10:12, 9 December 2009. The present address (URL) is a permanent link to this revision, which may differ significantly from the current revision.

Template:Legal codes of Thailand

The Civil and Commercial Code (Template:Lang-th; RTGSPramuan Kot Mai Phaeng Lae Phanit), or, in brief, CCC (Template:Lang-th) or CCCT (for the Civil and Commercial Code of Thailand), is a civil code of Thailand drafted for the first time in 1908 during the reign of King Chulalongkorn and following the promulgation of the Penal Code, RS 127 (1908), in order to be a main instrument to revoke all treaties the country adopted with foreign countries granting them extraterritoriality.[1]

The Civil and Commercial Code were chiefly modeled by the German Civil Code and the Japanese Civil Code, while some parts were influenced by the French Civil Code, the Swiss Civil Code as well as the ancient laws of Siam (present Thailand) and civil codes of other countries.[2] Though, the need to revoke Siam’s ignominious treatries raised higher time by time, the codification was carried out so slowly that the drafting of mere Book 1 took a great amount of the national fund, a period more than fifteen years and four sets of the drafting committee – all of which comprising of French personnel, especially and remarkably, members of the first set were all French. Completion of the codification, eventually, took more than thirty years.

The Civil and Commercial Code is structured into six books, namely, Book 1 General Principles, Book 2 Obligation, Book 3 Specific Contracts, Book 4 Property, Book 5 Family and Book 6 Succession. Since it first promulgation in 1925, the Code ages almost a century.

History

Grounds on the national codification

กลางพุทธศตวรรษที่ 24 ประเทศสยามก็เหมือนประเทศอื่น ๆ ในแถบเดียวกันที่ต้องผจญอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกทั้งในด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม จนที่สุดหลาย ๆ ประเทศ อาทิ ประเทศญี่ปุ่นและประเทศจีน รวมถึงสยามเองก็จำต้องยอมรับนับถือเอาแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ ของตะวันตกเข้ามาใช้ในประเทศตน โดยเฉพาะด้านการเมืองการปกครองของสยามนั้น ชาวตะวันตกต่างดูถูกดูแคลนว่าพระราชกำหนดบทพระอัยการกฎหมายตราสามดวงมีความล้าหลัง ป่าเถื่อน ไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน จึงไม่ยอมให้ใช้กฎหมายเหล่านั้นแก่ตนเป็นอันขาด เป็นเหตุให้สยามจำต้องทำสนธิสัญญาเสียเปรียบกับชาติตะวันตกหลายประเทศยอมยกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้พวกเขาเหล่านั้น[1]

ประเทศสยามจึงเริ่มรับหลักกฎหมายในระบบคอมมอนลอว์ (common law system) ของประเทศอังกฤษเข้ามาใช้ในการวินิจฉัยชี้ขาดอรรถคดีในกรณีที่กฎหมายตราสามดวงไม่ครอบคลุมหรือไม่เหมาะสม กับทั้งมีการจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายที่สอนกฎหมายระบบคอมมอนลอว์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งวิวัฒนามาเป็นคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ครั้งนั้นกฎหมายตรามสามดวงก็ยังคงเป็นระบิลเมืองอยู่[3]

พระบรมรูปทรงม้า พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ ที่ลานพระราชวังดุสิต

และเพื่อให้มีกฎหมายที่ใหม่และทันสมัยสำหรับเป็นเงื่อนไขสำคัญให้สยามหลุดพ้นจากความเสียเปรียบในเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงตัดสินพระราชหฤทัยให้มีการจัดทำประมวลกฎหมายบ้านเมืองดุจชาติตะวันตกทั้งหลาย ดังพระราชปรารภในกฎหมายTitleอาญาว่า[4]

"...ในระหว่างตั้งแต่จุลศักราช 1217 ปีเถาะ สัปตศก รัตนโกสินทรศก 74 ประเทศไทยได้ทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีกับนานาประเทศ และหนังสือสัญญาทั้งปวงนั้นได้ทำตามแบบหนังสือสัญญาที่ฝรั่งได้ทำกับประเทศทางตะวันออก คือ ประเทศเตอรกี ประเทศจีน และประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น มีข้อความอย่างเดียวกันที่ยอมให้กงสุลมีอำนาจตั้งศาลพิจารณาและพิพากษาคดีตามกฎหมายของเขา ในเมื่อคนในบังคับของชาตินั้น ๆ ที่เข้ามาอยู่ในประเทศทางตะวันออกเป็นความกันขึ้นเองหรือเป็นจำเลยของคนในบังคับของบ้านเมือง ลักษณการอย่างนี้ แม้จะมีประโยชน์ที่บรรเทาความรับผิดชอบแห่งเจ้าของประเทศได้อยู่บ้างในสมัยเมื่อแรกทำหนังสือสัญญา เวลายังมีชาวต่างประเทศพึ่งเข้ามาค้าขาย แต่ต่อมาเมื่อการค้าขายคบหากับนานาประเทศเจริญแพร่หลาย มีชาวต่างประเทศมาตั้งประกอบการค้าขายในพระราชอาณาจักรมากขึ้น ความลำบากในเรื่องคดีที่เกี่ยวข้องกับคนในบังคับต่างประเทศก็ยิ่งปรากฏเกิดมีทวีมากขึ้นทุกที เพราะเหตุที่คนทั้งหลายอันประกอบการสมาคมค้าขายอยู่ในประเทศบ้านเมืองอันเดียวกันต้องอยู่ในอำนาจศาลและในอำนาจกฎหมายต่าง ๆ กันตามชาติของบุคคล กระทำให้เป็นความลำบากขัดข้องทั้งในการปกครองบ้านเมืองและกีดกันประโยชน์ของคนทั้งหลายตลอดจนชนชาติต่างประเทศนั้น ๆ เองอยู่เป็นอันมาก ความลำบากด้วยเรื่องอำนาจศาลกงสุลเช่นว่ามานี้ย่อมมีทุกประเทศที่ได้ทำสัญญาโดยแบบอย่างอันเดียวกัน และต่างมีความประสงค์อย่างเดียวกันที่จะหาอุบายเลิกล้างวิธีศาลกงสุลต่างประเทศ ให้คนทั้งหลายไม่ว่าชาติใด ๆ บรรดาอยู่ในประเทศนั้น ๆ ได้รับประโยชน์อยู่ในอำนาจกฎหมายและอำนาจศาลสำหรับบ้านเมืองแต่อย่างเดียวทั่วกัน..."

สมยศ เชื้อไทย รองศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการที่รัฐบาลสยามตัดสินใจจัดทำประมวลกฎหมายบ้านเมืองในครั้งนั้นว่า เป็นการพลิกระบบกฎหมายที่ใช้อยู่ในครั้งนั้นจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว เพราะเป็นการเปลี่ยนจากระบบคอมมอนลอว์ที่กฎหมายมาจากบรรทัดฐานที่ศาลกำหนด ไปเป็นระบบซีวิลลอว์ (civil law system) ที่กฎหมายมาจากกระบวนการนิติบัญญัติ โดยเขากล่าวว่า[5]

"...การตัดสินใจทำประมวลกฎหมายครั้งนี้นับว่ามีความหมายในทางประวัติศาสตร์กฎหมายของไทยเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการเปลี่ยนระบบกฎหมายจากการรับกฎหมายอังกฤษเข้ามาใช้ ซึ่งได้ปฏิบัติกันมาเป็นเวลาครึ่งศตวรรษ...มีความหมายว่าประเทศไทยหันเหจากการรับระบบคอมมอนลอว์ของอังกฤษมาใช้ เปลี่ยนไปรับระบบซีวิลลอว์ซึ่งเป็นระบบกฎหมายของภาคพื้นยุโรปที่มีนิติวิธีที่แตกต่างและตรงกันข้ามกับระบบคอมมอนลอว์ การที่ประเทศไทยประกาศใช้ประมวลกฎหมายจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงจากระบบกฎหมายหนึ่งไปอีกระบบหนึ่งทีเดียว..."

การเริ่มจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

หลังจากรัฐบาลสยามตัดสินใจจัดทำประมวลกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ใน ร.ศ. 127 ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2451 ก็ได้กฎหมายTitleอาญาเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของประเทศและประกาศใช้ในปีนั้นเอง ครั้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำริให้จัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อไป ดังปรากฏในพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า[6]

"กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ใช้อยู่ในเวลานี้ยังกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง สมควรจะนำมารวบรวมไว้แห่งเดียวกันและจัดเข้าเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้สมแก่กาลสมัย ความเจริญ และพาณิชยกรรมแห่งบ้านเมือง และความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ส่วนหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งศาลยุติธรรมได้เคยยกขึ้นปรับสัตย์ตัดสินคดีเนือง ๆ มาโดยธรรมเนียมประเพณีอันควรแก่ยุติธรรมนั้น สมควรจะบัญญัติไว้ให้เป็นหลักฐานและกิจการบางอย่างในส่วนแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งไม่มีกฎหมายที่ใช้อยู่ในบัดนี้ ก็ควรจะบัญญัติขึ้นไว้ด้วย...ทางที่จะให้ถึงซึ่งผลอันนี้ ควรจะประมวลและบัญญัติบทกฎหมายที่กล่าวมาแล้วเข้าเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามแบบอย่างซึ่งประเทศอื่น ๆ ได้ทำมา..."

พระองค์โปรดให้ตั้งคณะกรรมการร่างกฎหมาย ซึ่งประกอบด้วยนักกฎหมายชาวฝรั่งเศสล้วน ๆ ทั้งนี้ เหตุว่าอิทธิของฝรั่งเศสยังมีเหนือสยามอย่างมากในสมัยนั้น ไทยจึงจำต้องยอมตั้งชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ร่างกฎหมาย[7] โดยคณะกรรมการร่างกฎหมายประกอบด้วย[8]

ที่ ชาติ ชื่อ ตำแหน่ง
1. France ฝรั่งเศส ชอร์ช ปาดู (Georges Padoux) ประธานกรรมการ
2. France ฝรั่งเศส โมรีซ อองรี ลูอี เลอกงป์-มงชาร์วีย์ (Maurice Henri Louis Lecompte-Moncharville) กรรมการ
3. France ฝรั่งเศส เรอเน กียง (René Guyon) กรรมการ
4. France ฝรั่งเศส ลูอี รีวีแยร์ (Louis Rivière) กรรมการ
5. France ฝรั่งเศส แซ็กนิตซ์ (Segnitz) กรรมการ
6. France ฝรั่งเศส ลาฟอร์กาด (Laforcade) กรรมการ
7. France ฝรั่งเศส ชาร์ล เลแว็ก (Charles L'Evêques) กรรมการ

คณะกรรมการชุดดังกล่าวเริ่มงานตั้งแต่ พ.ศ. 2451 นั้นเอง โดยวางโครงสร้างทั่วไปของประมวลกฎหมาย ก่อนจะประชุมหารือกันว่าจะจัดทำเป็นประมวลกฎหมายสองฉบับ ประมวลฉบับแรกว่าด้วยเรื่องหนี้ อีกฉบับว่าด้วยเรื่งอื่น เช่นที่เป็นอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศตูนีเซีย และประเทศโมรอกโก หรือไม่ ซึ่งที่ประชุมมีมติว่าให้จัดทำเป็นประมวลกฎหมายฉบับเดียวที่ว่าด้วยเรื่องทางแพ่งและพาณิชย์ทั้งหมดจะเหมาะสมกว่า[9] แล้วจึงเริ่มลงมือร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้แก่ราชอาณาจักรสยาม จนกระทั่ง พ.ศ. 2457 ชอร์ช ปาดู เดินทางกลับไปยุโรปและได้แนะนำเดแลสเตร (Délestrée) แก่ทางการไทยให้รับหน้าที่แทนตน ปรากฏว่าเดแลสเตรผู้นี้ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะดำเนินการยกร่าง ซ้ำเขายังรื้อโครงการที่ชอร์ช ปาดู และคณะทำไว้ก่อนหน้า ทำให้ร่างประมวลกฎหมายเกิดความอลเวง และการดำเนินงานเป็นไปโดยเชื่องช้าอย่างถึงที่สุด เมื่อชอร์ช ปาดู เดินทางกลับมาใน พ.ศ. 2459 ถึงกับตกตะลึงที่รับทราบว่างานร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ยุ่งเหยิงถึงเพียงนั้น ทั้งที่ตนได้วางระเบียบไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาถึงเจรจราให้เดแลสเตรลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการและเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนเสีย เพื่อเขาจะได้กลับเข้ารับตำแหน่งอีกครั้ง และแล้ว งานร่างประมวลกฎหมายก็ดำเนินต่อไป และใน พ.ศ. 2459 นั้นเอง จึงได้ร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์สองBookแรก คือ Book 1 หลักทั่วไป และBook 2 หนี้[10] ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าในระหว่างห้วงเวลาดังกล่าว รัฐบาลสยามต้องสูญเสียงบประมาณไปถึง 770,000 บาท ซึ่งนับว่าเป็นเงินมหาศาลในกาลครั้งนั้น แต่กลับได้ร่างกฎหมายเพียงแค่สองBook[11]

เนื่องจากร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จัดทำเป็นภาษาอังกฤษก่อนจะแปลเป็นภาษาไทย ร่างทั้งสองBookนั้นจึงได้รับการส่งต่อมาให้แก่คณะกรรมการตรวจภาษา ซึ่งประกอบด้วย[8]

File:พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร.jpg
หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤดากร
ที่ ชาติ ชื่อ ตำแหน่ง
1. Thailand สยาม หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤดากร ประธานกรรมการ
2. Thailand สยาม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ กรรมการ
3. Thailand สยาม หลวงสกลสัตยาทร กรรมการ
4. England อังกฤษ พระยากัลยาณไมตรี (เจมส์ ไอเวอร์สัน เวสเตนการ์ด) (James Iverson Westengard) กรรมการ
5. England อังกฤษ สกินเนอร์ เทอร์เนอร์ (Skinner Turner) กรรมการ
6. Japan ญี่ปุ่น พระยามหิธรมนูปกรณ์โกศลกุล (โทะกิชิ มะซะโอะ) (政尾藤吉, Tokichi Masao) กรรมการ
7. Sri Lanka ศรีลังกา พระยาอรรถการประสิทธิ์ (วิลเลียม แอลเฟรด คุนะทีเลกี) (William Alfred Kunatelake) กรรมการ

อย่างไรก็ดี ในที่ประชุมของคณะกรรมการชุดนี้มีความแตกแยกกันทางความคิดเห็นอย่างรุนแรง หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤดากร ทรงเกรงว่าหากดำเนินการประชุมต่อไปจะเกิดบาดหมางกันใหญ่โต จึงทรงสั่งเลิกประชุม และไม่มีการประชุมอีกเป็นระยะหนึ่ง[12] จนกระทั่งหม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ทรงลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมใน พ.ศ. 2451 นั้น โดยสาเหตุคาดว่ามาจากความขัดแย้งดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้พระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง (หม่อมราชวงศ์ลบ สุทัศน์) ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมคนใหม่ และรับหน้าที่ประธานคณะกรรมการชุดนี้ต่อไป[13]

The second set of the law drafting committee

File:พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ.jpg
Prince Sawatdisophon Kromma Phra Sawatdiwatnawisit

In the same year, King Vajiravudh replaced the law drafting committee of which the members were all French with a new set in order to take charge of the drafts of such two Books of the Civil and Commercial Code. The new set of the law drafting committee consisted of: [14]

No. From Name Position
1. Thailand Prince Sawatdisophon Kromma Phra Sawatdiwatnawisit Chairperson
2. Thailand Phraya Noranetibanchakit (Lat Setthabut), the Second Minister Member
3. Thailand Phraya Chindaphirom Ratchasaphabodi (Chit Na Songkhla) Member
4. Thailand Phraya Thep Withun Phahun Sarutabodi (Bunchuai Wanikkakun) Member
5. France René Guyon Member
6. France Laforcade Member
7. France Charles L'Evêques Member

Rate of salary for the members of that committee was also fixed: foreign members received THB 1,800-2,000 per mensem while Siamese members were paid THB 400 only for the functional months.[15] René Guyon recorded the work guidance of the new committee that:[16]

"The essential purpose of the drafters are to draft the laws in accordance with the desire of the country. For this reason, we have to take efforts to step over a snare of copying foreign laws and remodeling them merely, even though those foreign laws are brilliant. We have started our work from studying the existing laws of Siam itself and the important laws of other countries, such as: for distinctness, we looked into the legal codes of French; for certainty, we looked into some English laws which are well known by the most Siamese lawyers; for convenience of legal application and for modernity, we looked into the legal codes of Switzerland and of Japan; for circumspect techniques of law, we looked into the legal codes of Germany. Furthermore, legal amendments in the laws of Italy, Belgium, the Netherlands and some states of the United States of America have been taken into our consideration. If there are various ways to go, we will choose that leading to practical results according to the necessity of the modern world. So, we so much try to take avails of the experiences and wisdoms of the countries where the legal codes have been promulgated, rather than to copy them as on a par with a slavery of the intellectual…"

แม้จะมีการวางแนวทางไว้เช่นนั้น ทว่า การดำเนินงานก็มิใช่ง่าย เนื่องจากในการหยิบยกบทกฎหมายของไทยแต่เดิมขึ้นมาพิจารณาประกอบนั้น ตัวบทกฎหมายทางวิธีพิจารณาความและทางอาญามีมากกว่าทางแพ่งและพาณิชย์ ประกอบกับใน พ.ศ. 2462 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ ได้ทรงลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการ และเจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร (หม่อมราชวงศ์ลบ สุทัศน์) เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ได้รับตำแหน่งแทน[17] อนึ่ง ยังมีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกหลายคณะจนเฝือ เช่น คณะกรรมการช่วยยกร่าง คณะกรรมการตรวจคำแปลให้ถูกต้องทั้งด้านกฎหมายและการใช้ภาษา[18] เป็นผลให้งานร่างกฎหมายเป็นไปอย่างติด ๆ ขัด ๆ และการติดต่อประสานงานกันระหว่างคณะกรรมการทั้งหลายเป็นไปอย่างล่าช้า มีความคืบหน้าน้อยมาก[19]

The third set of the drafting committee

File:จิตร ณ สงขลา 2.jpg
Phraya Chindaphirom Ratchasaphabodi (Chit Na Songkhla)

Having seen no progress from the codification of Siam, the French Government in 1922 demanded Siam to without delay reform its legal system through constituting a specific department charging with the duty to draft the laws, and determining this as a condition for revoking French extraterritoriality in Siam. In the following year, King Vajiravudh elevated the law drafting committee to become a Law Drafting Department, subsidiary to the Ministry of Justice, and once again replaced the committee with a new set consisting of:[20]

No. From Name Position
1. Thailand Chao Phraya Aphaiyaracha Mahayuttithammathon (Mom Ratchawong Lop Suthat) Chairperson
2. Thailand Phraya Noranetibanchakit (Lat Setthabut) Member
3. Thailand Phraya Chindaphirom Ratchasaphabodi (Chit Na Songkhla) Member
4. Thailand Phraya Thepwithun Phahun Sarutabodi (Bunchuai Wanikkakun) Member
5. Thailand Phraya Manawaratchasewi (Plot Wichian Na Songkhla) Member
6. France René Guyon Member
7. France Henri Rémy de Planterose Member
8. France René Cazeau Member

Promulgation of Book 1 and the fourth set of the drafting committee

Phraya Manawaratchasewi (Plot Wichian Na Songkhla)

The individual carrying out of work of the Law Drafting Department advanced efficaciously, resulting in the completion of drafting Book 1 and Book 2 of the Civil and Commercial Code in 1923. The drafts of the said two Books contained, however, various mistakes for they were firstly made in English prior to being translated into Thai, but the translation was made in a kind of "word-for-word" and, after reading, Siamese members of the law drafting committee made nothing of it. The Law Drafting Department, hence, resolved to publish and distribute the drafts to Siamese judges and lawyers to explore their opinions and comments.[21]

For this reason, King Vajiravudh decreed the said drafts of Book 1 and Book 2 of the Civil and Commercial Code be proclaimed as a law on November 11, 1923 and be in force as of January 1, 1924. It came out as predicted that the law promulgated was much criticised by the Siamese people, especially Siamese judges and lawyers, that it was of a "nonsensical language."[22]

In 1980, Phraya Manawaratchasewi (Plot Wichian Na Songkhla), one of the members of the law drafting committee, at the age of ninety, revealed the reason Book 1 and Book 2 of the Civil and Commercial Code took more than fifteen years to draft and, in addition, gained negative comments following their promulgation, that: [23]

"...At the time we [Siamese Government] were to make our civil code, France presented itself to make it for us…Three-Book structure as the French Civil Code was firstly introduced, but the drafting, having been carried out for a long time, never met with success. Following my return from England, it was of no avail still…I read the draft they made and I could not understand it, it was of a nonsensical language…At the time, the King [King Vajiravudh] appointed many high members of the Royal Household who were brilliant in language field to verify the language used in the draft. Though they did not understand the draft, none of them could vote against it; because, at the time being, Siam was much overshadowed by French. The King was another one who, after having read the draft, could make nothing out of it. He asked me what we should do. I replied that this set of the law drafting committee was not as expected, it is expedient to have a new set…As last, all members of the committee were removed…"

The German Civil Code, as published in the state gazette on August 24, 1896.

So in 1923, a new set of the law drafting committee was appointed for the fourth time to improve Book 1 and Book 2 of the Civil and Commercial Code, consisting of Phraya Noranetibanchakit (Lat Setthabut), Phraya Chindaphirom Ratchasaphabodi (Chit Na Songkhla), Phraya Manawaratchasewi (Plot Wichian Na Songkhla) and René Guyon. At this time, a proposal is made by Phraya Manawaratchasewi (Plot Wichian Na Songkhla) that, in order to smoothly carry out the codification, Five-Book structure as the German Civil Code was more preferable than Three-Book structure as the French Civil Code and the Civil Codes of Japan and Switzerland should become the model. But, some parts of Book 1 and Book 2 previously promulgated were taken into consideration, in order to maintain friendship with France.[2] Eventually, the improvement of Book 1 and Book 2 completed in 1925. King Vajiravudh so decreed on November 11 of that year the provisions of Book 1 and Book 2 as previously promulgated be abrogated and replaced by the revised provisions, stating in his preamble that:[24]

"Since the promulgation of Book 1 and Book 2 of the Civil and Commercial Code on November 11, BE 2466 (1923), many suggestions have been made to improve this Code.

And having carefully considered, it is expedient to revise the provisions of the said Book 1 and Book 2 of the Civil and Commercial Code anew.

Be it, therefore, decreed by the King that the provisions of Book 1 and Book 2 of the Civil and Commercial Code promulgated on November 11, BE 2466 (1923) shall all be abrogated and substituted by the revised provisions annexed to this Royal Decree, henceforth onwards.

อนึ่ง หยุด แสงอุทัย ศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้เหตุผลอีกประการหนึ่งของการยกเลิกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ Book 1 และBook 2 เดิม ก่อนให้ใช้ที่ตรวจชำระใหม่นั้น ว่า[25]

"...เมื่อได้นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ Book 1 และBook 2 ที่ถูกยกเลิกมาเปรียบเทียบกับกฎหมายปัจจุบัน ก็ปรากฏว่า กฎหมายเก่าได้ร่างขึ้นโดยเทียบเคียงจากกฎหมายฝรั่งเศสและสวิสซึ่งใช้หลัก 'สัญญา' เป็นหลักทั่วไป ซึ่งอาจถือได้ว่าล่วงพ้นสมัย ส่วนกฎหมายปัจจุบันนั้นใช้หลัก 'นิติกรรม' เป็นหลักทั่วไป โดยเทียบมาจากกฎหมายเยอรมันและญี่ปุ่น ซึ่งนับว่าเป็นกฎหมายที่ทันสมัยกว่า เพราะได้บัญญัติขึ้นหลังกฎหมายฝรั่งเศสตั้งเกือบร้อยปี นอกจากนี้ ยังปรากฏว่ามีข้อขาดตกบกพร่องในกฎหมายเก่าอีกมาก แต่ทั้งนี้ ไม่ควรจะถือว่าการทำประมวลกฎหมายฉบับที่ถูกยกเลิกไม่อำนวยประโยชน์เสียเลย เพราะได้ทำให้การทำประมวลกฎหมายแพ่ง Book 1 และBook 2 ฉบับปัจจุบัน สำเร็จได้รวดเร็วยิ่งขึ้น"

สอดคล้องกับที่ สมยศ เชื้อไทย รองศาสตราจารย์คณะเดียวกัน แสดงความคิดเห็นว่า[26]

"การเปลี่ยนแปลงครั้งหลังนี้มีข้อสังเกตว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง เพราะเป็นการตัดสินใจเปลี่ยนจากการใช้ประมวลกฎหมายตามอย่างประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศสมาใช้ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน ซึ่งระบบประมวลกฎหมายแพ่งของฝรั่งเศสและของเยอรมันแม้ต่างก็เป็นระบบซีวิลลอว์ด้วยกัน แต่ก็ยังมีนิติวิธีที่แตกต่างในข้อสำคัญหลายประการ ทั้งนี้ เพราะประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมันได้รับอิทธิพลจากสำนักประวัติศาสตร์ (Historical School) ซึ่งสำนักนี้ถือว่าส่วนสำคัญของกฎหมายนั้นมาจากขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมันจึงเน้นความสำคัญของจารีตประเพณี ตรงกันข้ามกับฝรั่งเศส ซึ่งถือกฎหมายลายลักษณ์อักษรเป็นสำคัญและมีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อจารีตประเพณี จะใช้จารีตประเพณีมาชี้ขาดตัดสินได้ก็เฉพาะกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งแล้วเท่านั้น ทั้งนี้ เพราะประมวลกฎหมายของฝรั่งเศสได้รับอิทธิพลมาจากสำนักกฎหมายธรรมชาติ (Natural Law School) และความคิดของกระบวนการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสเมือปี ค.ศ. 1789"

Drafting and promulgation of other Books

ภายหลังจากการประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ Book 1 และBook 2 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พร้อมกับการประกาศใช้Book 3 ในเวลาเดียวกันเมื่อ พ.ศ. 2468 กรมร่างกฎหมายซึ่งวิวัฒนามาเป็นคณะกรรมการกฤษฎีกาในปัจจุบันก็รับหน้าที่ร่างประมวลกฎหมายสืบต่อมา โดยในการร่างBookอื่น ๆ นั้น แม้จะมีประมวลกฎหมายแพ่งของชาติอื่น ๆ ในระบบซีวิลลอว์เป็นแม่แบบ แต่หลักกฎหมายของระบบคอมมอนลอว์ที่เคยใช้อยู่แต่เดิมก็ยังมีอิทธิพลอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้ การรับกฎหมายของต่างชาติเข้าหาได้หยิบยกมาทั้งหมด ทว่า ได้ปรับให้เหมาะสมกับสังคมไทย[27] ดังที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสเป็นแนวทางไว้ในพระราชพิธีเปิดรัฐมนตรีสภา เมื่อวันที่ 24 มกราคม ร.ศ. 113 (พ.ศ. 2437) ว่า[28]

"...บางทีก็มีอยู่เนือง ๆ ที่ท่านทั้งหลายจะต้องค้นหาเทียบเคียงกฎหมายต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ในเมืองต่างประเทศแลหัวเมืองของเมืองต่างประเทศทั้งหลายที่มีเฉพาะสำหรับกับบ้านเมืองเราอยู่นี้เป็นสำคัญเป็นนิตย์ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เราไม่ควรที่จะเปลี่ยนแปลงฤๅจะจัดการแก้ไขธรรมเนียมที่มีอยู่ทุกวันนี้ให้ใหม่ไปหมดสิ้นทีเดียว แลไม่ควรที่จะหลับตาเอาอย่างทำตามธรรมเนียมที่มีในที่อื่น หากว่าเราจะต้องค่อย ๆ ทำการให้ดีขึ้นโดยลำดับในการที่เป็นสิ่งต้องการจะจัดให้ดีแล้ว แลเลิกถอนแต่สิ่งที่เห็นเป็นแน่แท้ว่าไม่ดีฤๅเป็นของใช้ไม่ได้แล้วเท่านั้น ทุกเมืองอื่น ๆ แลในเมืองนี้เป็นสำคัญทั้งสิ้นย่อมมีธรรมเนียมหลายอย่างซึ่งเป็นที่จะต้องนับถือกัน ไม่ใช่เพราะว่าเป็นธรรมเนียมเก่าแก่มาแต่โบราณเสมอกับอายุของประเทศอย่างเดียว หากเพราะว่าเป็นธรรมเนียมที่สนิทแน่นแฟ้นแก่น้ำใจและความเชื่อมั่นของอาณาประชาชน แลเพราะว่าถ้าจะเลิกถอนธรรมเนียมเช่นนี้เสียแล้ว ก็จะไม่เป็นแต่เพียงที่จะเป็นภัยเกิดขึ้นแก่เมืองที่ตั้งอยู่ได้อย่างเดียว หากกระทำให้อาณาประชาราษฎร์ไม่เป็นผาสุกด้วย..."

File:กฎหมายตราสามดวง.jpg
บานแพนก กฎหมายตราสามดวง ประทับตราพระราชสีห์ ตราพระคชสีห์ และตราบัวแก้ว

ดังนั้น ในการจัดทำประมวลกฎหมายในครั้งนั้น คณะกรรมการร่างกฎหมายจึงคำนึงเสมอว่าบทบัญญัติแต่ละเรื่องเหมาะสมกับสภาพสังคมไทยหรือไม่ โดยเฉพาะในการร่างBook 4 ว่าด้วยครอบครัว และBook 5 ว่าด้วยมรดก ต้องใคร่ครวญกันอย่างหนักทีเดียวเพราะครอบครัวตะวันตกและครอบครัวไทยนั้นต่างกันราวกับหน้ามือหลังมือ หลาย ๆ เรื่องจำต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนไทยไปจากเดิมก็ได้พยายามให้กระทบกระเทือนน้อยที่สุด เช่น การรับหลักการเรื่องผัวเดียวเมียเดียว (mongamy) เข้ามา ก็เพียงกำหนดว่าการจดทะเบียนสมรสซ้อน (bigamy) เป็นโมฆะ แต่ไม่ถึงกับเป็นความผิดอาญาเช่นในหลาย ๆ ประเทศ[29] และหลาย ๆ เรื่องก็รับเอาคุณธรรมของมนุษย์มาจากกฎหมายตราสามดวงมาโดยตรงทีเดียว ซึ่งไม่ปรากฏในกฎหมายของชาติใดอีกแล้ว เป็นต้นว่า ในเรื่องคดีอุทลุม ที่เป็นหลักการของความกตัญญูต่อบุพการีและผู้มีพระคุณ โดยกฎหมายตราสามดวง พระไอยการTitleรับฟ้อง มาตรา 25 บัญญัติว่า[30]

"ผู้ใดเป็นคนอุทลุม มิได้รู้คุณบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ตา ยาย แลมันมาฟ้องร้องให้เรียกบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยายมัน ท่านให้มีโทษทวนมันด้วยลวดหนังโดยฉกรรจ์ อย่ามันคนร้ายนั้นดูเยี่ยงอย่างกันต่อไป แล้วอย่าให้บังคับบัญชาว่ากล่าวคดีของมันนั้นเลย"

ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รับมาบัญญัติใน Book 5 ครอบครัว, Title 2 บิดามารดากับบุตร, หมวด 2 สิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาและบุตร, มาตรา 1562 ว่า

"ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้ แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้"

ทั้งนี้ มาตรา 1562 ดังกล่าวยังใช้บังคับอยู่จนปัจจุบัน และพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2522 ให้นิยามของคำ "อุทลุม" ว่า "ผิดประเพณี, ผิดธรรมะ, นอกแบบ, นอกทาง, เช่น คดีอุทลุม คือคดีที่ลูกหลานฟ้องบุพการีของตนต่อศาล, เรียกลูกหลานที่ฟ้องบุพการีของตนต่อศาลว่า คนอุทลุม."[31]

เมื่อยกร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เสร็จเป็นBook ๆ แล้ว ก็ได้มีการประกาศใช้ทีละBookไปตามลำดับ โดยBook 4 มีผลใช้บังคับครั้งแรกโดยพระราชกฤษฎีกาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2475 หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ Book 5 และBook 6 จึงมีผลใช้บังคับครั้งแรกโดยพระราชบัญญัติตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2478[32] จำเนียรกาลผ่านมาหลายศตวรรษ ตลอดช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้มีการตรวจชำระ ยกเลิก ประกาศใช้ใหม่ และแก้ไขเพิ่มเติมซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หลายครั้งตามความเหมาะสมแห่งสถานการณ์ โดยตั้งแต่เริ่มมีผลใช้บังคับครั้งแรกใน พ.ศ. 2468 จวบจนถึงบัดนี้ ประมวลกฎหมายดังกล่าวมีอายุเกือบหนึ่งศตวรรษแล้ว

Situations following the completion of the codification

จอมพลแปลก พิบูลสงคราม

Following the whole Civil and Commercial Code has been promulgated for the first time in 1934, other significant legal codes have been codified such as the Civil Procedure Code and the Criminal Procedure Code, in order to have the negotiation for revoking Siam’s ignominious treaties. The negotiation, however, went on such an unsmooth route that various diplomatic stratagems were undertaken by France and realistically by England to evade the revocation, resulting in a long fighting of Siam against the said. Thanked to a good friend of Siam, the United States of America, for unbrokenly assistance and for sending Edward Henry Strobel, an American diplomat and scholar in international , for such purpose.[33]

Eventually in 1938, the next three reigns following King Chulalongkorn, the said treaties were all revoked under the leadership of Field Marshal Plaek Piboonsonggram , bringing back a judicial independence to Siam and terminating foreign extraterritoriality.[34]

อย่างไรก็ดี แม้ว่าการจัดทำประมวลกฎหมายจะทำให้ประเทศสยามต้องเปลี่ยนระบบกฎหมายที่รับเข้ามาในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากระบบคอมมอนลอว์ (Common Law System) อันกฎหมายเกิดจากบรรทัดฐานที่ศาลพิพากษากำหนดไว้ หรือที่สมัยนั้นเรียก "วิธีกฎหมายจารีตธรรม" เป็นระบบซีวิลลอว์ (Civil Law System) อันกฎหมายเกิดจากกระบวนการนิติบัญญัติ หรือที่ในสมัยนั้นเรียก "วิธีกฎหมายประมวลธรรม" (Code System) แต่ในทางปฏิบัติที่ผ่านมา นักกฎหมายไทยยังติดอยู่กับนิติวิธีทางระบบคอมมอนลอว์อยู่มาก ซึ่งบรรดาผู้ยกร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เคยตระหนักถึงและแสดงความห่วงใยประเด็นนี้ไว้อยู่แล้ว ดังที่ ชอร์ช ปาดู (Georges Padoux) มีหนังสือถึง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ และพระองค์ก็ทรงเห็นด้วย กับทั้งได้มีลายพระหัตถ์ลงวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2456 กราบบังทูลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า[35]

"ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานนำหนังสือความเห็นของมองสิเออปาดูซ์ว่าด้วยวิธีจัดการศึกษากฎหมายขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท

แลเค้าความเห็นอันนี้ มองซิเออปาดูซ์ได้เขียนยื่นแก่เสนาบดียุติธรรมไว้แล้วแต่รัตนโกสินทรศก 129 แต่หามีผลสำเร็จประการใดไม่ ข้าพระพุทธเจ้าได้ความสันนิษฐานเข้าใจเอาเองว่าจะเป็นด้วยประชุมแห่งเหตุหลายประการ จะรับพระราชทานสาธกแต่เหตุสำคัญอันหนึ่งว่า จำเดิมแต่รัฐบาลได้ปรารภร่างประมวลอาญาจนถึงได้ประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกา พระเจ้าพี่ยาเธอกรมหลวงราชบุรีผู้ทรงตำแหน่งเสนาบดีในกาลนั้นไม่ทรงเห็นชอบด้วยวิธีกฎหมายประมวลธรรม (Code System) ซึ่งใช้อยู่ในคอนติเนนต์ยุโรป ฝ่ายเธอเป็นเนติบัณฑิตสำนักอังกฤษซึ่งใช้วิธีกฎหมายจารีตธรรม (Common Law System) ความปรากฏในครั้งนั้นอยู่บ้างว่า เธอเอาพระองค์ออกห่างจากการตรวจสอบแก้ไขประมวลอาญา แลได้กราบบังคมทูลพระกรุณาคัดค้านต้นร่างนั้น ถึงแก่ขอให้เลิกกรรมการฝรั่งเศสซึ่งร่างประมวลกฎหมายนั้นเสีย แลอาสาว่าจะควบคุมตั้งกรรมการขึ้นใหม่เพื่อร่างประมวลกฎหมายแพ่งอาญาให้ลงกับทำนองวิธีจารีตธรรม (Base on Common Law) ข้าพระพุทธเจ้ายอมรับอยู่ว่า การที่เธอทรงคัดค้านดังนี้นั้นเป็นความจริงใจด้วยมุ่งหมายความเจริญแก่พระนคร การอันนี้ถ้าทำได้สำเร็จจะเป็นอัศจรรย์มิใช่น้อย เพราะว่าการที่จะเอาจารีตธรรมอันเป็นพื้นประเพณีบ้านเมืองมาทำประมวลเป็นบทเป็นหมวดลงได้นั้นมิใช่ง่าย นิติบัณฑิตในสำนักอังกฤษและอเมริกาเองก็ยังแก่งแย่งกัน ยังมิอาจเห็นปรองดองลงกันได้ มิพักต้องกล่าวถึงว่าจะเป็นผลสำเร็จทันตาเห็น...

พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ผู้ทรงพระปัญญาญาณหยั่งเห็นกาลใกล้ไกล ทรงพระราชดำริชั่งได้ชั่งเสียในวิธีกฎหมายทั้ง 2 นั้นแล้ว พระราชทานพระราชวินิจฉัยไว้เป็นเด็ดขาดว่า พระราชกำหนดกฎหมายแก่งประเทศเราอันโบราณกระษัตราธิราชเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้สืบ ๆ มา มีบทมาตราเป็นTitleหมวดหมู่เป็นทำนองเดียวกันกับวิธีกฎหมายประมวลธรรม (System of Codified Law) ซึ่งใช้อยู่ในคอนติเนนต์นั้น ถ้าจะคุมเข้ากันแลผ่อนผันแก้ไขก็จะลงกันได้โดยสะดวก...

ครั้นเมื่อข้าพระพุทธเจ้ากับกรรมการมีชื่อรับพระราชทานประชุมปรึกษาตรวจสอบแก้ร่างประมวลแพ่งจนจะสำเร็จลงในเดือนธันวาคมนั้น มองสิเออปาดูซ์จึงได้ร้องขอให้ข้าพระพุทธเจ้าพิจารณาพิเคราะห์ถึงวิธีศึกษาวิชากฎหมายว่า บัดนี้ถึงเวลาจำเป็นแล้วที่จะพึงดำริจัดการให้เข้าทำนองวิธีสั่งสอนฝ่ายคอนติเนนต์ คือ กฎหมายประมวลธรรม สำแดงเหตุว่าวิธีทั้ง 2 ผิดกันหลายประการ แลรัฐบาลจะออกประกาศให้ใช้กฎหมายวิธีประมวลธรรมนี้ แต่ผู้พิพากษาตุลาการจะไม่ชำนาญในวิธีนั้นจะบังคับอรรถคดีให้ถูกต้องโดยทำนองมิได้ ย่อมจะบังเกิดเป็นความลำบากใหญ่แก่ราชการศาลสถิตยุติธรรม ข้าพระพุทธเจ้าได้สนทนาปรึกษาด้วยมองสิเออปาดูซ์กับพระยาจักรปาณีเป็นต้น เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า ถึงกาลจำเป็นจะทิ้งรารอไว้ดังนี้มิได้ ควรจะตระเตรียมดัดแปลงการโรงเรียนให้ลงร่องลงรอยกลมกลืนกับทำนองนี้จึงจะทันท่วงที ข้าพระพุทธเจ้าจึงสั่งให้มองสิเออปาดูซ์รวบรวมความเห็นที่ได้เขียนไว้เดิม ตกเติมเพิ่มข้อความลงให้กระจ่างเป็นฉบับเดียวกันมายื่น เพื่อได้นำขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา ขอพระราชทานเรียนพระราชปฏิบัติ..."

แม้บรรดากรรมการร่างกฎหมายจะแสดงความเป็นห่วงเพียงนั้น แต่อิทธิพลของระบบคอมมอนลอว์ยังส่งผลต่อประเทศไทยมาก ทำให้การใช้กฎหมายไทยเป็นสันเป็นดอนตลอดมา ดังที่ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ ศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า[36]

"...ตลอดเวลาที่ผ่านมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน ก็ยังคงมีปัญหาในการทำความเข้าใจหลักกฎหมายที่ปรากฏอยู่เบื้องหลังตัวบท การนำหลักกฎหมายคอมมอนลอว์มาตีความประมวลกฎหมายยังปรากฏอยู่ในคำสอนทางตำราและในแนวคำพิพากษาของศาล ความเข้าใขที่คลาดเคลื่อนในหลาย ๆ เรื่องส่งผลโดยตรงให้นักกฎหมายไทยส่วนหนึ่งใช้ประมวลกฎหมายอย่างขาดความเข้าใจที่แท้จริง

ในอีกมุมหนึ่ง การรับกฎหมายสมัยใหม่จากตะวันตกและละเลยคุณค่าที่มีอยู่ในกฎหมายไทยเดิม โดยเฉพาะความคิดที่ว่ากฎหมายคือธรรม แล้วหันมายึดถือความคิดแบบ Legal Positivism ที่ถือว่า กฎหมายคือคำสั่งของผู้ปกครองแผ่นดิน ยิ่งส่งผลโดยตรงให้นักกฎหมายกลายเป็นคนคับแคบ เดินตามผู้มีอำนาจ ตีความตามตัวอักษร คำตอบที่ออกมาในหลายเรื่องจึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในสังคม หนักไปกว่านั้นก็คือ การแยกว่ากฎหมายกับความยุติธรรมเป็นคนละเรื่องกัน

Lists of Promulgations and Amendments

Promulgations of the Civil and Commercial Code

Book 1 หลักทั่วไป File:LaiKanok.png
ครั้งที่ กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ เหตุผลในการประกาศใช้ วันใช้บังคับ
1
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทรงพระราชดำริว่า กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ใช้อยู่เวลานี้ยังกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง สมควรจะนำมารวมรวมไว้แห่งเดียวกัน และจัดเข้าเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้สมแก่กาลสมัย ความเจริญและพาณิชยกรรมแห่งบ้านเมือง และความสัมพันธ์กับนานาประเทศ

ส่วนหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งศาลยุติธรรมได้เคยยกขึ้นปรับสัตย์ตัดสินคดีเนือง ๆ มา โดยธรรมเนียมประเพณีอันควรแก่ยุติธรรมนั้น สมควรจะบัญญัติไว้ให้เป็นหลักฐาน และกิจการบางอย่างในส่วนแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งไม่มีในกฎหมายที่ใช้อยู่ ณ บัดนี้ ก็ควรจะบัญญัติขึ้นไว้ด้วย

และทรงพระราชดำริว่า ทางที่จะให้ถึงซึ่งผลอันนี้ ควรจะประมวลและบัญญัติบทกฎหมายที่กล่าวแล้ว เข้าเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามแบบอย่างซึ่งประเทศอื่น ๆ ได้ทำมา

อนึ่ง ทรงพระราชดำริว่า การชำระประมวลกฎหมายซึ่งทำอยู่ ณ บัดนี้ ได้ดำเนินไปมากแล้ว สมควรจะประกาศให้ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ส่วนที่สำคัญและเป็นประโยชน์ตอนหนึ่งก่อนได้ ส่วนอื่น ๆ เมื่อสำเร็จบริบูรณ์จะได้ประกาศให้ใช้เพิ่มเติมในภายหลัง
วันประกาศใช้ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2466
วันใช้ 1 มกราคม พ.ศ. 2468
(พระราชกฤษฎีกาให้ใช้Book 3 และเลื่อนเวลาใช้Book 1 และ 2 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 2 "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์Book 1 และ 2 ที่ได้ประกาศให้ใช้ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2467 นั้น ให้เลื่อนไปใช้ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2468")
2
พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ Book 1 และBook 2 ที่ได้ตรวจชำระใหม่
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 42/หน้า 1/11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468)
จำเดิมแต่ได้ออกประกาศประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ Book 1 และ 2 แต่วันที่ 11 พฤศจิกายน พระพุทธศักราช 2466 เป็นต้นมา ได้มีความเห็นแนะนำมากหลายเพื่อยังประมวลกฎหมายนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

และเมื่อได้พิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เห็นเป็นการสมควรให้ตรวจชำระบทบัญญัติในBook 1 และ 2 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นใหม่
วันประกาศพระราชกฤษฎีกา 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
วันใช้ประมวลกฎหมาย 1 มกราคม พ.ศ. 2468
3
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2535
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 169/ตอนที่ 42/หน้า 1/8 เมษายน พ.ศ. 2535)
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากบทบัญญัติBook 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งได้ใช้บังคับโดยพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์Book 1 และBook 2 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2468 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานและบทบัญญัติหลายประการล้าสมัย ไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน สมควรปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ วันใช้พระราชบัญญัติ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2535
(มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)
วันใช้ประมวลกฎหมาย 7 มิถุนายน พ.ศ. 2535
(มาตรา 3)
Book 2 หนี้ File:LaiKanok.png
ครั้งที่ กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ เหตุผลในการประกาศใช้ วันใช้บังคับ
1
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทรงพระราชดำริว่า กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ใช้อยู่เวลานี้ยังกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง สมควรจะนำมารวมรวมไว้แห่งเดียวกัน และจัดเข้าเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้สมแก่กาลสมัย ความเจริญและพาณิชยกรรมแห่งบ้านเมือง และความสัมพันธ์กับนานาประเทศ

ส่วนหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งศาลยุติธรรมได้เคยยกขึ้นปรับสัตย์ตัดสินคดีเนือง ๆ มา โดยธรรมเนียมประเพณีอันควรแก่ยุติธรรมนั้น สมควรจะบัญญัติไว้ให้เป็นหลักฐาน และกิจการบางอย่างในส่วนแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งไม่มีในกฎหมายที่ใช้อยู่ ณ บัดนี้ ก็ควรจะบัญญัติขึ้นไว้ด้วย

และทรงพระราชดำริว่า ทางที่จะให้ถึงซึ่งผลอันนี้ ควรจะประมวลและบัญญัติบทกฎหมายที่กล่าวแล้ว เข้าเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามแบบอย่างซึ่งประเทศอื่น ๆ ได้ทำมา

อนึ่ง ทรงพระราชดำริว่า การชำระประมวลกฎหมายซึ่งทำอยู่ ณ บัดนี้ ได้ดำเนินไปมากแล้ว สมควรจะประกาศให้ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ส่วนที่สำคัญและเป็นประโยชน์ตอนหนึ่งก่อนได้ ส่วนอื่น ๆ เมื่อสำเร็จบริบูรณ์จะได้ประกาศให้ใช้เพิ่มเติมในภายหลัง
วันประกาศใช้ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2466
วันใช้ 1 มกราคม พ.ศ. 2468
(พระราชกฤษฎีกาให้ใช้Book 3 และเลื่อนเวลาใช้Book 1 และ 2 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 2 "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์Book 1 และ 2 ที่ได้ประกาศให้ใช้ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2467 นั้น ให้เลื่อนไปใช้ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2468")
2
พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ Book 1 และBook 2 ที่ได้ตรวจชำระใหม่
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 42/หน้า 1/11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468)
จำเดิมแต่ได้ออกประกาศประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ Book 1 และ 2 แต่วันที่ 11 พฤศจิกายน พระพุทธศักราช 2466 เป็นต้นมา ได้มีความเห็นแนะนำมากหลายเพื่อยังประมวลกฎหมายนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

และเมื่อได้พิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เห็นเป็นการสมควรให้ตรวจชำระบทบัญญัติในBook 1 และ 2 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นใหม่
วันประกาศพระราชกฤษฎีกา 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
วันใช้ประมวลกฎหมาย 1 มกราคม พ.ศ. 2468
Book 3 เอกเทศสัญญา File:LaiKanok.png
ครั้งที่ กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ เหตุผลในการประกาศใช้ วันใช้บังคับ
1
พระราชกฤษฎีกาให้ใช้Book 3 และเลื่อนเวลาใช้Book 1 และ 2 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยที่การประมวลกฎหมายบ้านเมืองได้ดำเนินมาถึงคราวที่ควรใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ Book 3 วันประกาศพระราชกฤษฎีกา 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
วันใช้ประมวลกฎหมาย 1 มกราคม พ.ศ. 2468
2
พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ Book 3 ที่ได้ตรวจชำระใหม่
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 45/หน้า 1/1 มกราคม พ.ศ. 2471)
จำเดิมแต่ได้ออกประกาศประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ Book 3 แต่วันที่ 1 มกราคม พุทธศักราช 2467 เป็นต้นมา ได้มีความเห็นแนะนำมากหลายเพื่อยังประมวลกฎหมายนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

และเมื่อได้พิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เห็นเป็นการสมควรให้ตรวจชำระบทบัญญัติในBook 3 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นใหม่
วันประกาศพระราชกฤษฎีกา 1 มกราคม พ.ศ. 2471
วันใช้พระราชกฤษฎีกา 1 เมษายน พ.ศ. 2471
วันใช้ประมวลกฎหมาย 1 เมษายน พ.ศ. 2471
Book 4 ทรัพย์สิน File:LaiKanok.png
ครั้งที่ กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ เหตุผลในการประกาศใช้ วันใช้บังคับ
1
พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติ Book 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 47/หน้า 442/18 มีนาคม พ.ศ. 2473)
โดยที่การประมวลกฎหมายบ้านเมืองได้ดำเนินมาถึงคราวที่ควรประกาศใช้Book 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วันประกาศพระราชกฤษฎีกา 16 มีนาคม พ.ศ. 2473
วันใช้พระราชกฤษฎีกา 1 เมษายน พ.ศ. 2473
วันใช้ประมวลกฎหมาย 1 เมษายน พ.ศ. 2473
Book 5 ครอบครัว File:LaiKanok.png
ครั้งที่ กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ เหตุผลในการประกาศใช้ วันใช้บังคับ
1
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52/หน้า 474/29 พฤษภาคม พ.ศ. 2478)
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า การประมวลกฎหมายแห่งบ้านเมืองได้ดำเนินมาถึงคราวที่ควรใช้Book 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วันใช้พระราชบัญญัติ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2478
(มาตรา 2 ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)
วันใช้ประมวลกฎหมาย 1 ตุลาคม พ.ศ. 2478
(มาตรา 3)
2
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 60/ตอนที่ 32/หน้า 1089/19 มิถุนายน พ.ศ. 2486)
โดยที่เห็นสมควรขยายการใช้บทบัญญัติBook 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้ทั่วถึง เพื่อความมั่นคงและวัฒนธรรมแห่งชาติ

และโดยที่มีเหตุฉุกเฉินซึ่งจะเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันท่วงทีมิได้
วันใช้พระราชกำหนด 19 มิถุนายน พ.ศ. 2486
( มาตรา 2 ให้ใช้พระราชกำหนดนี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)
3
พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486 พุทธศักราช 2486
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 60/ตอนที่ 47/หน้า 1343/14 กันยายน พ.ศ. 2486)
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นสมควรอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486 ตามความในมาตรา 52 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย วันใช้พระราชบัญญัติ 14 กันยายน พ.ศ. 2486
(มาตรา 2 ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)
4
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 93/ตอนที่ 129/ฉบับพิเศษ/หน้า 4/15 ตุลาคม พ.ศ. 2519)
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 28 วรรคสอง บัญญัติว่าชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน จำต้องแก้ไขบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น วันใช้พระราชบัญญัติ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2519
(มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)
วันใช้ประมวลกฎหมาย 16 ตุลาคม พ.ศ. 2519
(มาตรา 3)
Book 6 มรดก File:LaiKanok.png
ครั้งที่ กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ เหตุผลในการประกาศใช้ วันใช้บังคับ
1
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52/หน้า 529/7 มิถุนายน พ.ศ. 2478)
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า การประมวลกฎหมายแห่งบ้านเมืองได้ดำเนินมาถึงคราวที่ควรใช้Book 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วันใช้พระราชบัญญัติ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2478
(มาตรา 2 ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)
วันใช้ประมวลกฎหมาย 1 ตุลาคม พ.ศ. 2478
(มาตรา 3)
2
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 60/ตอนที่ 32/หน้า 1092/19 มิถุนายน พ.ศ. 2486)
โดยที่เห็นสมควรขยายการใช้บทบัญญัติBook 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้ทั่วถึง เพื่อความมั่นคงและวัฒนธรรมแห่งชาติ

และโดยที่มีเหตุฉุกเฉินซึ่งจะเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันท่วงทีมิได้
วันใช้พระราชกำหนด 19 มิถุนายน พ.ศ. 2486
(มาตรา 2 ให้ใช้พระราชกำหนดนี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)
3
พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486 พุทธศักราช 2486
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 60/ตอนที่ 47/หน้า 1345/14 กันยายน พ.ศ. 2486)
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นสมควรอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486 ตามความในมาตรา 52 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย วันใช้พระราชบัญญัติ 14 กันยายน พ.ศ. 2486
(มาตรา 2 ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)

Amendments to the Civil and Commercial Code

Structure

The Civil and Commercial Code consists of six Books, modeling in accordance with the German Civil Code which comprises of five Books. As for the Civil and Commercial Code, the laws on specific obligations are separated from Book 2 Obligation to become another Book, resulting in the structure of six Books.[37] The six Books are as follows:

  • Book 1 General Principles, consisting of six Titles:
    • Title 1 General Provisions
    • Title 2 Persons
    • Title 3 Property
    • Title 4 Juristic Acts
    • Title 5 Periods of Time
    • Title 6 Prescriptions
  • Book 2 Obligation, consisting of five Titles:
    • Title 1 General Provisions
    • Title 2 Contracts
    • Title 3 Management of Affairs without Mandate
    • Title 4 Unjust Enrichment
    • Title 5 Wrongful Acts
  • Book 3 Specific Contracts, consisting of twenty three Titles:
    • Title 1 Sale
    • Title 2 Exchange
    • Title 3 Gift
    • Title 4 Hire of property
    • Title 5 Hire-purchase
    • Title 6 Hire of Service
    • Title 7 Hire of Work
    • Title 8 Carriage
    • Title 9 Loan
    • Title 10 Deposit
    • Title 11 Suretyship
    • Title 12 Mortgage
    • Title 13 Pledge
    • Title 14 Warehousing
    • Title 15 Agency
    • Title 16 Brokerage
    • Title 17 Compromise
    • Title 18 Gambling and Betting
    • Title 19 Current Accounts
    • Title 20 Insurances
    • Title 21 Bills
    • Title 22 Partnerships and Companies
    • Title 23 Associations
  • Book 4 Property, consisting of eight Titles:
    • Title 1 General Provisions
    • Title 2 Ownership
    • Title 3 Possession
    • Title 4 Servitudes
    • Title 5 Habitation
    • Title 6 Superficies
    • Title 7 Usufruct
    • Title 8 Charge on Immovable Property
  • Book 5 Family, consisting of three Titles:
    • Title 1 Marriage
    • Title 2 Parents and Child
    • Title 3 Alimony
  • Book 6 Succesion, consisting of six Titles:
    • Title 1 General Provisions
    • Title 2 Statutory Rights of Inheritance
    • Title 3 Wills
    • Title 4 Administration and Distribution of Estate
    • Title 5 Abeyance
    • Title 6 Prescriptions

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

มงแตสกีเยอ (Montesquieu) ใน ค.ศ. 1728 (พ.ศ. 2271)

กฎหมายไทยแต่โบร่ำโบราณ โดยเฉพาะกฎหมายตราสามดวงนั้น มักระบุเหตุผลที่ตราบทบัญญัตินั้น ๆ ไว้ในบทบัญญัติด้วย เช่น กฎหมายตราสามดวง กฎหมายTitleผัวเมีย มาตรา 67 ว่า "ภรรยาสามีมิชอบเนื้อพึงใจกัน จะหย่ากันไซร้ ตามน้ำใจเขา เหตุว่าเขาทั้งสองสิ้นบุญกันแล้ว จะจำใจให้อยู่ด้วยกันนั้นมิได้"[38] ซึ่งการให้เหตุผลในตัวบทกฎหมายด้วยเช่นนี้ยังเป็นที่นิยมมาถึงในสมัยร่างกฎหมายTitleอาญาและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย ขณะที่การบัญญัติกฎหมายในปัจจุบันจะไม่พึงกระทำเช่นนั้นเด็ดขาด ดังที่ ชาร์ล-ลูอี เดอ เซอกงดา ผู้เป็นบารงแห่งลาแบรดและมงแตสกีเยอ (Charles-Louis de Secondat, baron de La Brède et de Montesquieu) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "มงแตสกีเยอ" (Montesquieu) นักคิดนักเขียนทางการเมืองชาวฝรั่งเศส ว่า[39] [40]

"กฎหมายนั้นไม่สมควรจะบัญญัติในเชิงอภิปราย การให้เหตุผลรายละเอียดแห่งการบัญญัติกฎหมายนั้น ๆ เป็นเรื่องเสี่ยงภัยโดยแท้ เพราะการให้เหตุผลดังกล่าวย่อมเปิดช่องให้เกิดการโต้แย้งขึ้นได้"

หยุด แสงอุทัย ศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการให้เหตุผลในตัวบทกฎหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่า[41]

"กฎหมายที่บัญญัติขึ้นในสมัยเก่า ๆ นั้น ในบางบทบางมาตราได้เขียนอธิบายเหตุผลของการที่บัญญัติข้อความเช่นนั้นไว้ในบทมาตรานั้นเอง แม้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เองก็เคยเขียนเหตุผลไว้ในบทมาตราเหมือนกัน แต่ผู้เขียนจำได้เพียงมาตราเดียว คือ มาตรา 204 ซึ่งใช้คำว่า '...ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัด เพราะเขาเตือนแล้ว' เป็นเหตุผลซึ่งไม่สมควรจะใส่ไว้ในกฎหมาย สำหรับบทกฎหมายนั้นความสำคัญอยู่ที่ว่าลูกหนี้ผิดนัดหรือไม่เท่านั้น ตามที่กล่าวมาแล้วหมายความว่า ไม่สมควรที่บทมาตราต่าง ๆ จะบัญญัติถึงเหตุผลของการที่มีบทบัญญัตินั้นขึ้น เพราะการให้เหตุผลของการที่ควรมีบทบัญญัติขึ้นนี้ควรจะเป็นเรื่องที่ผู้เสนอกฎหมายที่จะอธิบายต่อองค์การที่จะอนุมัติให้บัญญัติกฎหมายมากกว่า เช่น เป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่เสนอกฎหมายต่อสภาผู้แทนฯ ที่จะอธิบายเหตุผลการบัญญัติกฎหมายนั้นให้สภาผู้แทนฯ ทราบ เป็นต้น แต่การที่จะไปเขียนไว้ในบทมาตรานั้นย่อมจะเป็นการฟุ่มเฟือย บทมาตราต่าง ๆ ของกฎหมายควรจะมีข้อความสั้น ๆ กะทัดรัด อ่านง่าย เข้าใจง่าย เช่น จะต้องห้ามการอย่างไรก็เขียนห้ามไว้ ไม่จำเป็นต้องเขียนอธิบายว่า ทำไมจึงต้องมีบทบัญญัติห้ามการกระทำเช่นว่านั้น ข้อที่ควรระลึกมีว่า อย่าเอาเหตุผลในการบัญญัติกฎหมายไปปนกับเหตุผลของข้อความซึ่งอาจใส่เพื่อความชัดเจนได้ เช่น เมื่อพูดถึงวิกลจริต ก็อาจเขียนเหตุแห่งการวิกลจริตลงได้..."

ทั้งนี้ มาตรา 204 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังที่ หยุด แสงอุทัย อ้างถึงนั้น มีข้อความเต็ม ๆ ดังต่อไปนี้ โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2468 ตราบทุกวันนี้

"ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัด เพราะเขาเตือนแล้ว

ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว"

Notes

  1. ^ a b Sawaeng Bunchaloemwiphat, 2009 : 204.
  2. ^ a b Chanchai Sawaengsak, 1996 : 68.
  3. ^ Somyot Chueathai, 2008 : 11.
  4. ^ ราชกิจจานุเบกษา; 2451, 1 มิถุนายน : Online.
  5. ^ Somyot Chueathai, 2008 : 11-12.
  6. ^ Sawaeng Bunchaloemwiphat, 2009 : 228-229.
  7. ^ Sawaeng Bunchaloemwiphat, 2009 : 229.
  8. ^ a b Sawaeng Bunchaloemwiphat, 2009 : 230.
  9. ^ เรอเน่ กียอง, 2536 : 107.
  10. ^ Sawaeng Bunchaloemwiphat, 2009 : 230-231.
  11. ^ Chanchai Sawaengsak, 1996 : 54-55.
  12. ^ เอกสารกระทรวงยุติธรรม รัชกาลที่ 6 หมายเลข ย 121/2ฯ.
  13. ^ Chanchai Sawaengsak, 1996 : 52.
  14. ^ Sawaeng Bunchaloemwiphat, 2009 : 231.
  15. ^ Chanchai Sawaengsak, 1996 : 56.
  16. ^ René Guyon, 1993 : 105-106.
  17. ^ Sawaeng Bunchaloemwiphat, 2009 : 232.
  18. ^ Chanchai Sawaengsak, 1996 : 57-58.
  19. ^ Sawaeng Bunchaloemwiphat, 2009 : 233.
  20. ^ Sawaeng Bunchaloemwiphat, 2009 : 233.
  21. ^ Chanchai Sawaengsak, 1996 : 60.
  22. ^ Sawaeng Bunchaloemwiphat, 2009 : 235.
  23. ^ The Department of Legal Study on Social, Philosophical and Historical Issues, Faculty of Law, Thammasat University; 1980, 12 September : 2-4.
  24. ^ The Government Gazette of Thailand; 1925, 11 November : Online.
  25. ^ หยุด แสงอุทัย; 2507, 6 กุมภาพันธ์ : 129.
  26. ^ Somyot Chueathai, 2008 : 12.
  27. ^ Somyot Chueathai, 2008 : 12-13.
  28. ^ Sawaeng Bunchaloemwiphat, 2009 : 256.
  29. ^ Sawaeng Bunchaloemwiphat, 2009 : 256-257.
  30. ^ Sawaeng Bunchaloemwiphat, 2009 : 257.
  31. ^ ราชบัณฑิตยสถาน, 2551 : Online.
  32. ^ Somyot Chueathai, 2008 : 19-21.
  33. ^ Sawaeng Bunchaloemwiphat, 2009 : 242.
  34. ^ ธานินทร์ กรัยวิเชียร, 2517 : 6.
  35. ^ Sawaeng Bunchaloemwiphat, 2009 : 243-244.
  36. ^ Sawaeng Bunchaloemwiphat, 2009 : 244-245.
  37. ^ Somyot Chueathai, 2008 : 13.
  38. ^ Thanin Kraiwichian and Aphichon Chanthrasen, 2007 : 197-198.
  39. ^ Carleton Kemp Allen, 1964 : 482-483.
  40. ^ Thanin Kraiwichian and Aphichon Chanthrasen, 2007 : 198.
  41. ^ หยุด แสงอุทัย, 2492 : 323-324.

References

Thai language

Books

  • Chanchai Sawaengsak. (2539). อิทธิพลของฝรั่งเศสในการปฏิรูปกฎหมายไทย. กรุงเทพฯ : นิติธรรม. ISBN 9747761577.
  • Thanin Kraiwichian and Aphichon Chanthrasen. (2550). คำแนะนำนักศึกษากฎหมาย. (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ISBN 9789745719941.
  • ราชบัณฑิตยสถาน.
    • (2543). พจนานุกรมศัพท์กฎหมายไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์. ISBN 9748123529.
    • (2544). พจนานุกรมศัพท์กฎหมายไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์. ISBN 9748123758.
  • Somot Chueathai. (2551). ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉบับใช้เรียน. (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ : วิญญูชน. ISBN 9789742886370.
  • Sawaeng Bunchaloemwiphat. (2552). ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพฯ : วิญญูชน. ISBN 9789742886257.

Newspapers

  • The Government Gazette of Thailand.
    • (2451, 1 มิถุนายน). กฎหมายTitleอาญา ร.ศ. 127. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552).
    • (2468, 11 พฤศจิกายน). พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ Book 1 และ 2 ที่ได้ตรวจชำระใหม่. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552).
    • (2471, 1 มกราคม). พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ Book 3 ที่ได้ตรวจชำระใหม่. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552).
    • (2473, 18 มีนาคม). พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติ Book 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552).
    • (2478, 29 พฤษภาคม). พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552).
    • (2478, 7 มิถุนายน). พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ Book 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552).
    • (2478, 28 กรกฎาคม). แก้คำผิด ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 13 วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2478 พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2477. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552).
    • (2486, 19 มิถุนายน). พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552).
    • (2486, 19 มิถุนายน). พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552).
    • (2486, 14 กันยายน). พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486 พุทธศักราช 2486. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552).
    • (2486, 14 กันยายน). พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 6 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช 2477 พุทธศักราช 2486 พุทธศักราช 2486. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552).
    • (2519, 26 สิงหาคม). ประกาศสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ... . [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552).
    • (2519, 27 กันยายน). ประกาศ วุฒิสภา เรื่อง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ... . [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552).
    • (2519, 15 ตุลาคม). พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552).
    • (2535, 21 มกราคม). ประกาศสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา เรื่อง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ Book 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ... และร่างพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... . [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552).
    • (2535, 8 เมษายน). พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติBook 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2535. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 6 พฤศจิกายน 2552).

Articles

  • Thanin Kraiwichian. (2517). "อิทธิพลของกฎหมายอังกฤษในระบบกฎหมายไทย". วารสารนิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, (ปีที่ 1, ฉบับที่ 2).
  • Rene Gyon. (2536). "การตรวจชำระและร่างประมวลกฎหมายในกรุงสยาม". (วิษณุ วรัญญู แปล). วารสารนิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, (ปีที่ 23, ฉบับที่ 1).
  • Yut Saeng-uthai.
    • (2492). "การร่างกฎหมาย". นิติสาสน์, (ปีที่ 20, เล่ม 2).
    • (2507, 6 กุมภาพันธ์). "การร่างกฎหมายในประเทศไทย". วารสารทนายความ, (ปีที่ 6).

Online sources

  • The Royal Institute of Thailand.
    • (2551, 7 กุมภาพันธ์). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 12 กันยายน 2552).
    • (ม.ป.ป.). ศัพท์บัญญัติราชบัณฑิตยสถาน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 12 กันยายน 2552).
  • The Council of State of Thailand. (2551, 10 มีนาคม). ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: 12 กันยายน 2552).

Other documents

  • ภาควิชานิติศึกษาทางสังคม ปรัชญา และประวัติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. (2523, 12 กันยายน). บันทึกคำสัมภาษณ์พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา). (เอกสารในห้องสมุดสัญญาธรรมศักดิ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนยืท่าพระจันทร์ กรุงเทพมหานคร).
  • เอกสารกระทรวงยุติธรรม รัชกาลที่ 6 หมายเลข ย 121/2 หนังสือเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมกราบบังคมทูล เรื่อง ระเบียบวิธีการในการร่างกฎหมาย. (เอกสารรักษาไว้ที่กระทรวงยุติธรรม กรุงเทพมหานคร).

Other languages



Categories:Legal codes of Thailand