Jump to content

User:Clumsily/Civil and Commercial Code

From Wikipedia, the free encyclopedia

Template:Legal codes of Thailand

The Civil and Commercial Code (Template:Lang-th; RTGSPramuan Kot Mai Phaeng Lae Phanit), or CCC (Template:Lang-th) in brief, is a civil code of Thailand which was firstly drafted in 1908 during the reign of King Chulalongkorn following the promulgation of the now defunct Penal Code in the same year, in order to revoke the treaties adopted with foreign countries granting them extraterritorial rights.[1]

It was considerably influenced by the German Civil Code and the Japanese Civil Code, and partly by the French Civil Code and the Swiss Civil Code[2]. The codification has been carried out so slowly that the drafting of Book 1 took more than fifteen years, a great amount of budgets and four sets of the drafting committee, while the need to revoke the country's "unfavorable" treaties raised stronger time by time. It was also remarkable that every set of the drafting committee consisted of French lawyers, especially, the members of the first set were all French.[3] The drafting of Book 1 was completed in 1923 and the other Books followed respectively.[4]

The Civil and Commercial Code comprises of 6 Books, namely, Book 1 General Principles, Book 2 Obligation, Book 3 Specific Contracts, Book 4 Property, Book 5 Family and Book 6 Legacy. As of its first coming into force in 1924, the Code ages almost a century and is in force still.

History

Initiation of the codification of the national laws

In the 19th Century, Siam was one of the Asian countries which unavoidably confronted with the western influence in politics, government, economy and social, and, at last, was compelled to adopt various western ideas causing so much changes in the country. One reason was that the national law of Siam in force at the time being — the Code of the Three Great Seals — was considered by the westerners as uncivilised, barbarous and unsuitable to the circumstances. Siam had have to adopted many treaties with foreign countries granting them extraterritorial rights.[1]

In order to initiate to revoke those treaties the country deemed ashamed, Siam, under the Government of King Chulalongkorn, took many legal concepts from the common law system to apply to the cases in which its own laws were in default, and a law school, which has now become the Faculty of Law, Thammasat University, was also established to provide legal education as the common law system.[5] The Siamese Government also decided to have the codification carried out producing modern legal codes to be used as a main instrument for the said purpose, as appeared in the remarks of King Chulalongkorn that:[6]

Statue of King Chulalongkorn at Dusit Palace Plaza, Khet Dusit, Bangkok180px

"...As of the 1217th year of the Minor Era, being the Year of the Rabbit, the 74th Year of Rattakosin Era (1855 Common Era), Thailand has adopted many treaties with various countries as the eastern countries — Turkey, China and Japan and so on and so forth — have done with the western countries. All of the treaties contained the same clauses allowing the foreign consulates to establish the courts to hear and decide under their own laws the legal cases in which their subjects were a party. Though it alleviated the host countries' responsibility at the initial period...but the difficulty grew stronger time by time against the administration and interests of the nationals of the host countries...And all of the said countries would have the same intention to find any policy to demolish the consulate courts in order to inclusively put all the people, irrespective of their nationality, under the same legal forces and courts' jurisdiction..."

Somyot Chueathai, a associate professor of the Faculty of Law, Thammasat University, gave an opinion that the Government's decision to codify the laws gave a significant transition from the common law system used in the country at the time being for almost a half century to the civil law system. The professor stated that:[7]

"...This decision to carry out the national codification should be considered as one of the powerful and significant somersaults in the legal history of Thailand, for the national legal system has turned from the English law used for almost a half century...to the civil law system of the Continental Europe while the legal methods of the two systems are so much different."

การเริ่มจัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

หลังจากรัฐบาลสยามตัดสินใจจัดทำประมวลกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ใน ร.ศ. ๑๒๗ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๔๕๑ ก็ได้กฎหมายลักษณะอาญาเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของประเทศและประกาศใช้ในปีนั้นเอง ครั้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำริให้จัดทำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อไป ดังปรากฏในพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า[8]

"กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ใช้อยู่ในเวลานี้ยังกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง สมควรจะนำมารวบรวมไว้แห่งเดียวกันและจัดเข้าเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้สมแก่กาลสมัย ความเจริญ และพาณิชยกรรมแห่งบ้านเมือง และความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ส่วนหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งศาลยุติธรรมได้เคยยกขึ้นปรับสัตย์ตัดสินคดีเนือง ๆ มาโดยธรรมเนียมประเพณีอันควรแก่ยุติธรรมนั้น สมควรจะบัญญัติไว้ให้เป็นหลักฐานและกิจการบางอย่างในส่วนแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งไม่มีกฎหมายที่ใช้อยู่ในบัดนี้ ก็ควรจะบัญญัติขึ้นไว้ด้วย...ทางที่จะให้ถึงซึ่งผลอันนี้ ควรจะประมวลและบัญญัติบทกฎหมายที่กล่าวมาแล้วเข้าเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามแบบอย่างซึ่งประเทศอื่น ๆ ได้ทำมา..."

พระองค์โปรดให้ตั้งคณะกรรมการร่างกฎหมาย ซึ่งประกอบด้วยนักกฎหมายชาวฝรั่งเศสล้วน ๆ ทั้งนี้ เหตุว่าอิทธิของฝรั่งเศสยังมีเหนือสยามอย่างมากในสมัยนั้น ไทยจึงจำต้องยอมตั้งชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ร่างกฎหมาย[9] โดยคณะกรรมการร่างกฎหมายประกอบด้วย[3]

ที่ ชาติ ชื่อ ตำแหน่ง
๑. France ฝรั่งเศส ชอร์ช ปาดู (Georges Padoux) ประธานกรรมการ
๒. France ฝรั่งเศส โมรีซ อองรี ลูอี เลอกงป์-มงชาร์วีย์ (Maurice Henri Louis Lecompte-Moncharville) กรรมการ
๓. France ฝรั่งเศส เรอเน กียง (René Guyon) กรรมการ
๔. France ฝรั่งเศส ลูอี รีวีแยร์ (Louis Rivière) กรรมการ
๕. France ฝรั่งเศส แซ็กนิตซ์ (Segnitz) กรรมการ
๖. France ฝรั่งเศส ลาฟอร์กาด (Laforcade) กรรมการ
๗. France ฝรั่งเศส ชาร์ล เลแว็ก (Charles L'Evêques) กรรมการ

คณะกรรมการชุดดังกล่าวเริ่มงานตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๑ นั้นเอง โดยวางโครงสร้างทั่วไปของประมวลกฎหมาย ก่อนจะประชุมหารือกันว่าจะจัดทำเป็นประมวลกฎหมายสองฉบับ ประมวลฉบับแรกว่าด้วยเรื่องหนี้ อีกฉบับว่าด้วยเรื่งอื่น เช่นที่เป็นอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศตูนีเซีย และประเทศโมรอกโก หรือไม่ ซึ่งที่ประชุมมีมติว่าให้จัดทำเป็นประมวลกฎหมายฉบับเดียวที่ว่าด้วยเรื่องทางแพ่งและพาณิชย์ทั้งหมดจะเหมาะสมกว่า[10] แล้วจึงเริ่มลงมือร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้แก่ราชอาณาจักรสยาม จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๕๗ ชอร์ช ปาดู เดินทางกลับไปยุโรปและได้แนะนำเดแลสเตร (Délestrée) แก่ทางการไทยให้รับหน้าที่แทนตน ปรากฏว่าเดแลสเตรผู้นี้ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะดำเนินการยกร่าง ซ้ำเขายังรื้อโครงการที่ชอร์ช ปาดู และคณะทำไว้ก่อนหน้า ทำให้ร่างประมวลกฎหมายเกิดความอลเวง และการดำเนินงานเป็นไปโดยเชื่องช้าอย่างถึงที่สุด เมื่อชอร์ช ปาดู เดินทางกลับมาใน พ.ศ. ๒๔๕๙ ถึงกับตกตะลึงที่รับทราบว่างานร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ยุ่งเหยิงถึงเพียงนั้น ทั้งที่ตนได้วางระเบียบไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาถึงเจรจราให้เดแลสเตรลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการและเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนเสีย เพื่อเขาจะได้กลับเข้ารับตำแหน่งอีกครั้ง และแล้ว งานร่างประมวลกฎหมายก็ดำเนินต่อไป และใน พ.ศ. ๒๔๕๙ นั้นเอง จึงได้ร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์สองบรรพแรก คือ บรรพ ๑ หลักทั่วไป และบรรพ ๒ หนี้[11] ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าในระหว่างห้วงเวลาดังกล่าว รัฐบาลสยามต้องสูญเสียงบประมาณไปถึง ๗๗๐,๐๐๐ บาท ซึ่งนับว่าเป็นเงินมหาศาลในกาลครั้งนั้น แต่กลับได้ร่างกฎหมายเพียงแค่สองบรรพ[12]

เนื่องจากร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จัดทำเป็นภาษาอังกฤษก่อนจะแปลเป็นภาษาไทย ร่างทั้งสองบรรพนั้นจึงได้รับการส่งต่อมาให้แก่คณะกรรมการตรวจภาษา ซึ่งประกอบด้วย[3]

[[ไฟล์:พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร.jpg|thumb|หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤดากร|right|170px]]

ที่ ชาติ ชื่อ ตำแหน่ง
๑. Thailand สยาม หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤดากร ประธานกรรมการ
๒. Thailand สยาม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ กรรมการ
๓. Thailand สยาม หลวงสกลสัตยาทร กรรมการ
๔. England อังกฤษ พระยากัลยาณไมตรี (เจมส์ ไอเวอร์สัน เวสเตนการ์ด) (James Iverson Westengard) กรรมการ
๕. England อังกฤษ สกินเนอร์ เทอร์เนอร์ (Skinner Turner) กรรมการ
๖. Japan ญี่ปุ่น พระยามหิธรมนูปกรณ์โกศลกุล (โทะกิชิ มะซะโอะ) (政尾藤吉, Tokichi Masao) กรรมการ
๗. Sri Lanka ศรีลังกา พระยาอรรถการประสิทธิ์ (วิลเลียม แอลเฟรด คุนะทีเลกี) (William Alfred Kunatelake) กรรมการ

อย่างไรก็ดี ในที่ประชุมของคณะกรรมการชุดนี้มีความแตกแยกกันทางความคิดเห็นอย่างรุนแรง หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤดากร ทรงเกรงว่าหากดำเนินการประชุมต่อไปจะเกิดบาดหมางกันใหญ่โต จึงทรงสั่งเลิกประชุม และไม่มีการประชุมอีกเป็นระยะหนึ่ง[13] จนกระทั่งหม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ทรงลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมใน พ.ศ. ๒๔๕๑ นั้น โดยสาเหตุคาดว่ามาจากความขัดแย้งดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้พระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง (หม่อมราชวงศ์ลบ สุทัศน์) ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมคนใหม่ และรับหน้าที่ประธานคณะกรรมการชุดนี้ต่อไป[14]

คณะกรรมการร่างกฎหมายชุดที่สอง

[[ไฟล์:พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ.jpg|170px|thumb|right|สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์]]

ในปีเดียวกันนั้น พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้คณะกรรมการร่างกฎหมายที่ประกอบด้วยชาวฝรั่งเศสทั้งหมดพ้นจากตำแหน่ง และทรงแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เพื่อจัดการกับร่างเดิมทั้งสองบรรพให้เรียบร้อย ประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้[15] และมีการกำหนดอัตราเงินเดือนกรรมการยกร่างชุดนี้ไว้อย่างชัดเจนด้วย โดยกรรมการชาวต่างประเทศให้ได้รับเงินเดือนอย่างสูงเดือนละ ๑,๘๐๐ บาท หากได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการแล้วจะได้เดือนละ ๒,๐๐๐ บาท ขณะที่กรรมการฝ่ายสยามได้เดือนละ ๔๐๐ บาทเฉพาะเดือนที่ปฏิบัติหน้าที่[16]

ที่ ชาติ ชื่อ ตำแหน่ง
๑. Thailand สยาม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ ประธานกรรมการ
๒. Thailand สยาม มหาอำมาตย์โท พระยานรเนติบัญชากิจ (ลัด เศรษฐบุตร) กรรมการ
๓. Thailand สยาม พระยาจินดาภิรมย์ราชสภาบดี (จิตร ณ สงขลา) กรรมการ
๔. Thailand สยาม พระยาเทพวิทุรพหุลศรุตาบดี (บุญช่วย วณิกกุล) กรรมการ
๕. France ฝรั่งเศส เรอเน กียง (René Guyon) กรรมการ
๖. France ฝรั่งเศส ลาฟอร์กาด (Laforcade) กรรมการ
๗. France ฝรั่งเศส ชาร์ล เลแว็ก (Charles L'Evêques) กรรมการ

แนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการชุดใหม่ เรอเน กียง บันทึกว่า[17]

"จุดหมายของผู้ร่างนั้น ในสาระสำคัญก็คือ ร่างกฎหมายให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ ด้วยเหตุนี้ ผุ้ร่างจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ตกหลุมพรางของการคัดลอกบทบัญญัติของกฎหมายต่างประเทศแล้วนำมาดัดแปลงเอาอย่างเพียงผิวเผิน ไม่ว่าบทกฎหมายต่างประเทศนั้น ๆ จะประเสริฐเลิศเลอเพียงใดก็ตาม สำหรับการร่างกฎหมายแต่ละลักษณะ ๆ นั้น ผู้ร่างจะเริ่มต้นด้วยการศึกษาเรื่องนั้น ๆ อย่างกว้าง ๆ ก่อนโดยดูจากตัวบทกฎหมายของสยามที่มีอยู่ (พระราชบัญญัติ หรือคำพิพากษา) และจากประมวลกฎหมายสำคัญ ๆ ของต่างประเทศ เช่น ในแง่ของความชัดเจนจะดูจากประมวลกฎหมายฝรั่งเศส หลักกฎหมายบางอย่างดูจากกฎหมายอังกฤษบางฉบับซึ่งนักกฎหมายสยามส่วนมากรู้จักเป็นอย่างดี ในแง่ของบทบัญญัติที่สะดวกในการใช้และทันสมัยจะดูจากประมวลกฎหมายของสวิสและญี่ปุ่น ในแง่ของความกระชับรัดกุมด้วยเทคนิคทางกฎหมายก็จะดูจากประมวลกฎหมายเยอรมัน นอกจากนั้นก็ยังได้นำเอาข้อเปลี่ยนแปลงแก้ไขที่ได้มีขึ้นในกฎหมายของอิตาลี เบลเยียม ฮอลันดา และบางรัฐ[18] ในอเมริกามาเป็นข้อพิจารณาด้วย ในกรณีที่มีทางที่จะบัญญัติเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปได้หลาย ๆ แนวทาง คณะกรรมการจะเลือกแนวทางที่มีผลในทางปฏิบัติมากที่สุดสอดคล้องกับความจำเป็นสมัยใหม่ที่สุด ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะใช้ประโยชน์จากประสบการณ์และภูมิปัญญาของประเทศที่ได้มีประมวลกฎหมายมาก่อน มากกว่าที่จะลอกเลียนตาม ๆ กันไปดังเป็นทาสทางปัญญา..."

แม้จะมีการวางแนวทางไว้เช่นนั้น ทว่า การดำเนินงานก็มิใช่ง่าย เนื่องจากในการหยิบยกบทกฎหมายของไทยแต่เดิมขึ้นมาพิจารณาประกอบนั้น ตัวบทกฎหมายทางวิธีพิจารณาความและทางอาญามีมากกว่าทางแพ่งและพาณิชย์ ประกอบกับใน พ.ศ. ๒๔๖๒ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ ได้ทรงลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการ และเจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร (หม่อมราชวงศ์ลบ สุทัศน์) เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ได้รับตำแหน่งแทน[19] อนึ่ง ยังมีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกหลายคณะจนเฝือ เช่น คณะกรรมการช่วยยกร่าง คณะกรรมการตรวจคำแปลให้ถูกต้องทั้งด้านกฎหมายและการใช้ภาษา[20] เป็นผลให้งานร่างกฎหมายเป็นไปอย่างติด ๆ ขัด ๆ และการติดต่อประสานงานกันระหว่างคณะกรรมการทั้งหลายเป็นไปอย่างล่าช้า มีความคืบหน้าน้อยมาก[21]

คณะกรรมการร่างกฎหมายชุดที่สาม

[[ไฟล์:จิตร ณ สงขลา 2.jpg|170px|right|thumb|พระยาจินดาภิรมย์ราชสภาบดี (จิตร ณ สงขลา)]]

เมื่อเห็นว่าการจัดทำประมวลกฎหมายในประเทศสยามไม่คืบหน้า ใน พ.ศ. ๒๔๖๕ รัฐบาลฝรั่งเศสจึงเรียกร้องให้ไทยเร่งปรับปรุงระบบกฎหมายภายในประเทศอย่างไม่ชักช้าด้วยการจัดตั้งกรมร่างกฎหมายขึ้นทำหน้าที่เฉพาะโดยกำหนดให้เป็นเงื่อนไขที่ไทยจะต้องปฏิบัติตามเพื่อขอเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ในปีถัดมา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้ยกฐานะคณะกรรมการร่างกฎหมายขึ้นเป็นกรมร่างกฎหมาย สังกัดกระทรวงยุติธรรม มีอำนาจหน้าที่ร่างกฎหมายแต่โดยลำพัง และให้มีคณะกรรมการร่างกฎหมายชุดใหม่ ประกอบด้วย[22]

ที่ ชาติ ชื่อ ตำแหน่ง
๑. Thailand สยาม เจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธร (หม่อมราชวงศ์ลบ สุทัศน์) ประธานกรรมการ
๒. Thailand สยาม มหาอำมาตย์โท พระยานรเนติบัญชากิจ (ลัด เศรษฐบุตร) กรรมการ
๓. Thailand สยาม พระยาจินดาภิรมย์ราชสภาบดี (จิตร ณ สงขลา) กรรมการ
๔. Thailand สยาม พระยาเทพวิทุรพหุลศรุตาบดี (บุญช่วย วณิกกุล) กรรมการ
๕. Thailand สยาม พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) กรรมการ
๖. France ฝรั่งเศส เรอเน กียง (René Guyon) กรรมการ
๗. France ฝรั่งเศส อองรี เรมี เดอ ปล็องเตอโรส (Henri Rémy de Planterose) กรรมการ
๘. France ฝรั่งเศส เรอเน กาโซ (René Cazeau) กรรมการ

การประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพแรก และคณะกรรมการร่างกฎหมายชุดที่สี่

[[ไฟล์:พระยามานวราชเสวี.jpg|170px|left|พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา)|thumb]]

การดำเนินงานโดยเอกเทศของกรมร่างกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การตรวจชำระร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และบรรพ ๒ เสร็จสิ้นลงใน พ.ศ. ๒๔๖๖ ทว่า ร่างทั้งสองกลับมิใช่ร่างที่สมบูรณ์แบบ เพราะเดิมนั้นจัดทำเป็นภาษาอังกฤษก่อนจะแปลเป็นภาษาไทย แต่ก็แปลมาตรงตัวเลยทีเดียว กรรมการร่างกฎหมายฝ่ายที่เป็นชาวสยามอ่านแล้วไม่เข้าใจ คณะกรรมการร่างกฎหมายจึงลงมติว่าควรจัดพิมพ์และแจกจ่ายร่างฉบับดังกล่าวให้บรรดาผู้พิพากษาสุภาตุลาการทนายความและนักกฎหมายทั้งหลายได้อ่านเสียก่อน เพื่อหยั่งฟังเสียงดูความเห็นของพวกเขา[23]

ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระบรมราชโองการให้ประกาศประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ หลักทั่วไป และบรรพ ๒ หนี้ ณ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๖ แต่ให้มีผลใช้บังคับในวันที่ ๑ มกราคม ปีถัดไป ปรากฏว่าประชาชนชาวไทยโดยเฉพาะหมู่ผู้พิพากษาและทนายความวิพากษ์วิจารณ์ว่า "อ่านแล้วไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง"[4]

ใน พ.ศ. ๒๕๒๓ พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) หนึ่งในกรรมการร่างกฎหมาย ในวัย ๙๐ ปี เปิดเผยถึงสาเหตุที่ทำให้การประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แค่บรรพแรก ๆ กินเวลาถึง ๑๕ ปี ซ้ำยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ภายหลังอีก ว่า[24]

"...ตอนที่ทำโค๊ดแพ่ง ฝรั่งเขาขอเป็นผู้ร่างให้...เขาเสนอแบบ ๓ บรรพอย่างโค๊ดฝรั่งเศส ร่างกันอยู่เป็นนานก็ยังไม่แล้วสักที จนกระทั่งผมกลับจากอังกฤษ ก็ยังไม่แล้ว...ผมได้อ่านร่างกฎหมายแล้วรู้สึกว่าไม่เข้าใจ เขียนกฎหมายไม่กินเกลียวกัน...เวลานั้นในหลวงทรงแต่งตั้งกรรมการที่เป็นเจ้านายมาเป็นกรรมการตรวจศัพท์ภาษา กรรมการท่านอ่านก็ไม่เข้าใจ แต่ไม่ได้ว่าอะไร ก็ในสมัยนั้นเรายังกลัวฝรั่งเศสอยู่เพราะมีอำนาจมาก เมื่ออ่านไม่เข้าใจ ในหลวงท่านก็ถามผมว่าจะเอาอย่างไร ที่สุดผมจึงทูลในหลวงว่า ชุดนี้เห็นจะไม่ได้การ เห็นสมควรให้มีการเปลี่ยนกรรมการร่างกฎหมายใหม่ ซึ่งอันที่จริงแล้ว คนที่มาเขียนกฎหมายให้เรานั้นมือยังไม่ถึงขั้น เวลาเขียนไปมันเลยไม่กินเกลียวกัน ในที่สุด กรรมการร่างกฎหมายต้องออกเกือบหมด เพราะเหตุที่ร่างแล้วยุ่งกันไปหมด..."

[[ไฟล์:Reichsgesetzblatt 1896 Seite 195.png|170px|right|thumb|เบือร์แกร์ลิชส์เกเซทซ์บุค ประกาศในรัฐกิจจานุเบกษาเยอรมัน ลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ค.ศ. ๑๘๙๖ (พ.ศ. ๒๔๓๙)]]

และแล้ว ใน พ.ศ. ๒๔๖๖ นั้นเอง ก็มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่างกฎหมายขึ้นใหม่อีกครั้งเป็นครั้งที่ ๔ โดยชุดนี้ประกอบด้วย มหาอำมาตย์โท พระยานรเนติบัญชากิจ (ลัด เศรษฐบุตร) เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) และเรอเน กียง (René Guyon) คณะกรรมการได้ประชุมปรึกษากันเพื่อหาวิธีการให้งานร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดำเนินไปโดยตลอดรอดฝั่ง ซึ่งครั้งนั้น พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) เสนอว่า จากเดิมที่ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศส (Code civil du Français) ซึ่งมี ๓ บรรพ เป็นแม่แบบ ควรเปลี่ยนมาใช้ เบือร์แกร์ลิชส์เกเซทซ์บุค (Bürgerliches Gesetzbuch) หรือประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน เป็นแม่แบบแทน ด้วยการลอก มินโป (民法, Minpō) หรือประมวลกฎหมายแพ่งแห่งญี่ปุ่น ที่ยกร่างโดยอาศัยเบือร์แกร์ลิชส์เกเซทซ์บุคเป็นแม่แบบก่อนแล้ว ประกอบกับการใช้ซีวิลเกเซทซ์บุค (Zivilgesetzbuch) หรือประมวลกฎหมายแพ่งสวิส เป็นแม่แบบอีกฉบับหนึ่ง แต่เพื่อไม่ให้เสียไมตรีกับทางฝรั่งเศส จึงนำเอาบทบัญญัติบางช่วงบางตอนจากประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศสและจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับเดิมที่ประกาศใน พ.ศ. ๒๔๖๖ มาประกอบด้วย[2] ที่สุดก็ได้ร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพแรก ๆ ที่สมบูรณ์ใน พ.ศ. ๒๔๖๘

ในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชกฤษฎีกาโดยพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้ยกเลิกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และบรรพ ๒ ที่ประกาศไว้แต่เดิมเสียสิ้น และให้ใช้ฉบับที่ได้ตรวจชำระใหม่แทน ตามที่ปรากฏในพระราชปรารภว่า[25]

"จำเดิมแต่ได้ออกประกาศประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และ ๒ แต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๖ เป็นต้นมา ได้มีความเห็นแนะนำมากหลายเพื่อยังประมวลกฎหมายนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

และเมื่อได้พิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เห็นเป็นการสมควรให้ตรวจชำระบทบัญญัติในบรรพ ๑ และ ๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นใหม่

จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สั่งว่า บทบัญญัติเดิมในบรรพ ๑ และ ๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ประกาศไว้แต่ ณ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๖ นั้น ให้ยกเลิกเสียสิ้น และใช้บทบัญญัติที่ได้ตรวจชำระใหม่ต่อท้ายพระราชกฤษฎีกานี้แทนสืบไป

อนึ่ง หยุด แสงอุทัย ศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้เหตุผลอีกประการหนึ่งของการยกเลิกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และบรรพ ๒ เดิม ก่อนให้ใช้ที่ตรวจชำระใหม่นั้น ว่า[26]

"...เมื่อได้นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และบรรพ ๒ ที่ถูกยกเลิกมาเปรียบเทียบกับกฎหมายปัจจุบัน ก็ปรากฏว่า กฎหมายเก่าได้ร่างขึ้นโดยเทียบเคียงจากกฎหมายฝรั่งเศสและสวิสซึ่งใช้หลัก 'สัญญา' เป็นหลักทั่วไป ซึ่งอาจถือได้ว่าล่วงพ้นสมัย ส่วนกฎหมายปัจจุบันนั้นใช้หลัก 'นิติกรรม' เป็นหลักทั่วไป โดยเทียบมาจากกฎหมายเยอรมันและญี่ปุ่น ซึ่งนับว่าเป็นกฎหมายที่ทันสมัยกว่า เพราะได้บัญญัติขึ้นหลังกฎหมายฝรั่งเศสตั้งเกือบร้อยปี นอกจากนี้ ยังปรากฏว่ามีข้อขาดตกบกพร่องในกฎหมายเก่าอีกมาก แต่ทั้งนี้ ไม่ควรจะถือว่าการทำประมวลกฎหมายฉบับที่ถูกยกเลิกไม่อำนวยประโยชน์เสียเลย เพราะได้ทำให้การทำประมวลกฎหมายแพ่ง บรรพ ๑ และบรรพ ๒ ฉบับปัจจุบัน สำเร็จได้รวดเร็วยิ่งขึ้น"

สอดคล้องกับที่ สมยศ เชื้อไทย รองศาสตราจารย์คณะเดียวกัน แสดงความคิดเห็นว่า[27]

"การเปลี่ยนแปลงครั้งหลังนี้มีข้อสังเกตว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง เพราะเป็นการตัดสินใจเปลี่ยนจากการใช้ประมวลกฎหมายตามอย่างประมวลกฎหมายแพ่งฝรั่งเศสมาใช้ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน ซึ่งระบบประมวลกฎหมายแพ่งของฝรั่งเศสและของเยอรมันแม้ต่างก็เป็นระบบซีวิลลอว์ด้วยกัน แต่ก็ยังมีนิติวิธีที่แตกต่างในข้อสำคัญหลายประการ ทั้งนี้ เพราะประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมันได้รับอิทธิพลจากสำนักประวัติศาสตร์ (Historical School) ซึ่งสำนักนี้ถือว่าส่วนสำคัญของกฎหมายนั้นมาจากขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมันจึงเน้นความสำคัญของจารีตประเพณี ตรงกันข้ามกับฝรั่งเศส ซึ่งถือกฎหมายลายลักษณ์อักษรเป็นสำคัญและมีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อจารีตประเพณี จะใช้จารีตประเพณีมาชี้ขาดตัดสินได้ก็เฉพาะกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งแล้วเท่านั้น ทั้งนี้ เพราะประมวลกฎหมายของฝรั่งเศสได้รับอิทธิพลมาจากสำนักกฎหมายธรรมชาติ (Natural Law School) และความคิดของกระบวนการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสเมือปี ค.ศ. ๑๗๘๙"

การจัดทำและประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพอื่น ๆ

ภายหลังจากการประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และบรรพ ๒ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พร้อมกับการประกาศใช้บรรพ ๓ ในเวลาเดียวกันเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ กรมร่างกฎหมายซึ่งวิวัฒนามาเป็นคณะกรรมการกฤษฎีกาในปัจจุบันก็รับหน้าที่ร่างประมวลกฎหมายสืบต่อมา โดยในการร่างบรรพอื่น ๆ นั้น แม้จะมีประมวลกฎหมายแพ่งของชาติอื่น ๆ ในระบบซีวิลลอว์เป็นแม่แบบ แต่หลักกฎหมายของระบบคอมมอนลอว์ที่เคยใช้อยู่แต่เดิมก็ยังมีอิทธิพลอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้ การรับกฎหมายของต่างชาติเข้าหาได้หยิบยกมาทั้งหมด ทว่า ได้ปรับให้เหมาะสมกับสังคมไทย[28] ดังที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสเป็นแนวทางไว้ในพระราชพิธีเปิดรัฐมนตรีสภา เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ร.ศ. ๑๑๓ (พ.ศ. ๒๔๓๗) ว่า[29]

"...บางทีก็มีอยู่เนือง ๆ ที่ท่านทั้งหลายจะต้องค้นหาเทียบเคียงกฎหมายต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ในเมืองต่างประเทศแลหัวเมืองของเมืองต่างประเทศทั้งหลายที่มีเฉพาะสำหรับกับบ้านเมืองเราอยู่นี้เป็นสำคัญเป็นนิตย์ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เราไม่ควรที่จะเปลี่ยนแปลงฤๅจะจัดการแก้ไขธรรมเนียมที่มีอยู่ทุกวันนี้ให้ใหม่ไปหมดสิ้นทีเดียว แลไม่ควรที่จะหลับตาเอาอย่างทำตามธรรมเนียมที่มีในที่อื่น หากว่าเราจะต้องค่อย ๆ ทำการให้ดีขึ้นโดยลำดับในการที่เป็นสิ่งต้องการจะจัดให้ดีแล้ว แลเลิกถอนแต่สิ่งที่เห็นเป็นแน่แท้ว่าไม่ดีฤๅเป็นของใช้ไม่ได้แล้วเท่านั้น ทุกเมืองอื่น ๆ แลในเมืองนี้เป็นสำคัญทั้งสิ้นย่อมมีธรรมเนียมหลายอย่างซึ่งเป็นที่จะต้องนับถือกัน ไม่ใช่เพราะว่าเป็นธรรมเนียมเก่าแก่มาแต่โบราณเสมอกับอายุของประเทศอย่างเดียว หากเพราะว่าเป็นธรรมเนียมที่สนิทแน่นแฟ้นแก่น้ำใจและความเชื่อมั่นของอาณาประชาชน แลเพราะว่าถ้าจะเลิกถอนธรรมเนียมเช่นนี้เสียแล้ว ก็จะไม่เป็นแต่เพียงที่จะเป็นภัยเกิดขึ้นแก่เมืองที่ตั้งอยู่ได้อย่างเดียว หากกระทำให้อาณาประชาราษฎร์ไม่เป็นผาสุกด้วย..."

บานแพนก กฎหมายตราสามดวง ประทับตราพระราชสีห์ ตราพระคชสีห์ และตราบัวแก้ว|180px|left|thumb

ดังนั้น ในการจัดทำประมวลกฎหมายในครั้งนั้น คณะกรรมการร่างกฎหมายจึงคำนึงเสมอว่าบทบัญญัติแต่ละเรื่องเหมาะสมกับสภาพสังคมไทยหรือไม่ โดยเฉพาะในการร่างบรรพ ๔ ว่าด้วยครอบครัว และบรรพ ๕ ว่าด้วยมรดก ต้องใคร่ครวญกันอย่างหนักทีเดียวเพราะครอบครัวตะวันตกและครอบครัวไทยนั้นต่างกันราวกับหน้ามือหลังมือ หลาย ๆ เรื่องจำต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนไทยไปจากเดิมก็ได้พยายามให้กระทบกระเทือนน้อยที่สุด เช่น การรับหลักการเรื่องผัวเดียวเมียเดียว (mongamy) เข้ามา ก็เพียงกำหนดว่าการจดทะเบียนสมรสซ้อน (bigamy) เป็นโมฆะ แต่ไม่ถึงกับเป็นความผิดอาญาเช่นในหลาย ๆ ประเทศ[30] และหลาย ๆ เรื่องก็รับเอาคุณธรรมของมนุษย์มาจากกฎหมายตราสามดวงมาโดยตรงทีเดียว ซึ่งไม่ปรากฏในกฎหมายของชาติใดอีกแล้ว เป็นต้นว่า ในเรื่องคดีอุทลุม ที่เป็นหลักการของความกตัญญูต่อบุพการีและผู้มีพระคุณ โดยกฎหมายตราสามดวง พระไอยการลักษณะรับฟ้อง มาตรา ๒๕ บัญญัติว่า[31]

"ผู้ใดเป็นคนอุทลุม มิได้รู้คุณบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ตา ยาย แลมันมาฟ้องร้องให้เรียกบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยายมัน ท่านให้มีโทษทวนมันด้วยลวดหนังโดยฉกรรจ์ อย่ามันคนร้ายนั้นดูเยี่ยงอย่างกันต่อไป แล้วอย่าให้บังคับบัญชาว่ากล่าวคดีของมันนั้นเลย"

ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รับมาบัญญัติใน บรรพ ๕ ครอบครัว, ลักษณะ ๒ บิดามารดากับบุตร, หมวด ๒ สิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาและบุตร, มาตรา ๑๕๖๒ ว่า

"ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้ แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้"

ทั้งนี้ มาตรา ๑๕๖๒ ดังกล่าวยังใช้บังคับอยู่จนปัจจุบัน และพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้นิยามของคำ "อุทลุม" ว่า "ผิดประเพณี, ผิดธรรมะ, นอกแบบ, นอกทาง, เช่น คดีอุทลุม คือคดีที่ลูกหลานฟ้องบุพการีของตนต่อศาล, เรียกลูกหลานที่ฟ้องบุพการีของตนต่อศาลว่า คนอุทลุม."[32]

เมื่อยกร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เสร็จเป็นบรรพ ๆ แล้ว ก็ได้มีการประกาศใช้ทีละบรรพไปตามลำดับ โดยบรรพ ๔ มีผลใช้บังคับครั้งแรกโดยพระราชกฤษฎีกาตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕ หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ บรรพ ๕ และบรรพ ๖ จึงมีผลใช้บังคับครั้งแรกโดยพระราชบัญญัติตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๘[33] จำเนียรกาลผ่านมาหลายศตวรรษ ตลอดช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้มีการตรวจชำระ ยกเลิก ประกาศใช้ใหม่ และแก้ไขเพิ่มเติมซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หลายครั้งตามความเหมาะสมแห่งสถานการณ์ โดยตั้งแต่เริ่มมีผลใช้บังคับครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๖๘ จวบจนถึงบัดนี้ ประมวลกฎหมายดังกล่าวมีอายุเกือบหนึ่งศตวรรษแล้ว

รายการการประกาศใช้และแก้ไขเพิ่มเติม

การประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

บรรพ ๑ หลักทั่วไป 20px
ครั้งที่ กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ เหตุผลในการประกาศใช้ วันใช้บังคับ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทรงพระราชดำริว่า กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ใช้อยู่เวลานี้ยังกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง สมควรจะนำมารวมรวมไว้แห่งเดียวกัน และจัดเข้าเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้สมแก่กาลสมัย ความเจริญและพาณิชยกรรมแห่งบ้านเมือง และความสัมพันธ์กับนานาประเทศ

ส่วนหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งศาลยุติธรรมได้เคยยกขึ้นปรับสัตย์ตัดสินคดีเนือง ๆ มา โดยธรรมเนียมประเพณีอันควรแก่ยุติธรรมนั้น สมควรจะบัญญัติไว้ให้เป็นหลักฐาน และกิจการบางอย่างในส่วนแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งไม่มีในกฎหมายที่ใช้อยู่ ณ บัดนี้ ก็ควรจะบัญญัติขึ้นไว้ด้วย

และทรงพระราชดำริว่า ทางที่จะให้ถึงซึ่งผลอันนี้ ควรจะประมวลและบัญญัติบทกฎหมายที่กล่าวแล้ว เข้าเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามแบบอย่างซึ่งประเทศอื่น ๆ ได้ทำมา

อนึ่ง ทรงพระราชดำริว่า การชำระประมวลกฎหมายซึ่งทำอยู่ ณ บัดนี้ ได้ดำเนินไปมากแล้ว สมควรจะประกาศให้ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ส่วนที่สำคัญและเป็นประโยชน์ตอนหนึ่งก่อนได้ ส่วนอื่น ๆ เมื่อสำเร็จบริบูรณ์จะได้ประกาศให้ใช้เพิ่มเติมในภายหลัง
วันประกาศใช้ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๖
วันใช้ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘
(พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บรรพ ๓ และเลื่อนเวลาใช้บรรพ ๑ และ ๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒ "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๑ และ ๒ ที่ได้ประกาศให้ใช้ในวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๗ นั้น ให้เลื่อนไปใช้ในวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘")
พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และบรรพ ๒ ที่ได้ตรวจชำระใหม่
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๔๒/หน้า ๑/๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘)
จำเดิมแต่ได้ออกประกาศประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และ ๒ แต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๖ เป็นต้นมา ได้มีความเห็นแนะนำมากหลายเพื่อยังประมวลกฎหมายนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

และเมื่อได้พิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เห็นเป็นการสมควรให้ตรวจชำระบทบัญญัติในบรรพ ๑ และ ๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นใหม่
วันประกาศพระราชกฤษฎีกา ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘
วันใช้ประมวลกฎหมาย ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๖๙/ตอนที่ ๔๒/หน้า ๑/๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๕)
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากบทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งได้ใช้บังคับโดยพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๑ และบรรพ ๒ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานและบทบัญญัติหลายประการล้าสมัย ไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน สมควรปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ วันใช้พระราชบัญญัติ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๕
(มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)
วันใช้ประมวลกฎหมาย ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๕
(มาตรา ๓)
บรรพ ๒ หนี้ 20px
ครั้งที่ กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ เหตุผลในการประกาศใช้ วันใช้บังคับ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทรงพระราชดำริว่า กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ใช้อยู่เวลานี้ยังกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง สมควรจะนำมารวมรวมไว้แห่งเดียวกัน และจัดเข้าเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้สมแก่กาลสมัย ความเจริญและพาณิชยกรรมแห่งบ้านเมือง และความสัมพันธ์กับนานาประเทศ

ส่วนหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งศาลยุติธรรมได้เคยยกขึ้นปรับสัตย์ตัดสินคดีเนือง ๆ มา โดยธรรมเนียมประเพณีอันควรแก่ยุติธรรมนั้น สมควรจะบัญญัติไว้ให้เป็นหลักฐาน และกิจการบางอย่างในส่วนแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งไม่มีในกฎหมายที่ใช้อยู่ ณ บัดนี้ ก็ควรจะบัญญัติขึ้นไว้ด้วย

และทรงพระราชดำริว่า ทางที่จะให้ถึงซึ่งผลอันนี้ ควรจะประมวลและบัญญัติบทกฎหมายที่กล่าวแล้ว เข้าเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามแบบอย่างซึ่งประเทศอื่น ๆ ได้ทำมา

อนึ่ง ทรงพระราชดำริว่า การชำระประมวลกฎหมายซึ่งทำอยู่ ณ บัดนี้ ได้ดำเนินไปมากแล้ว สมควรจะประกาศให้ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ส่วนที่สำคัญและเป็นประโยชน์ตอนหนึ่งก่อนได้ ส่วนอื่น ๆ เมื่อสำเร็จบริบูรณ์จะได้ประกาศให้ใช้เพิ่มเติมในภายหลัง
วันประกาศใช้ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๖
วันใช้ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘
(พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บรรพ ๓ และเลื่อนเวลาใช้บรรพ ๑ และ ๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒ "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๑ และ ๒ ที่ได้ประกาศให้ใช้ในวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๗ นั้น ให้เลื่อนไปใช้ในวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘")
พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และบรรพ ๒ ที่ได้ตรวจชำระใหม่
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๔๒/หน้า ๑/๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘)
จำเดิมแต่ได้ออกประกาศประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และ ๒ แต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๖ เป็นต้นมา ได้มีความเห็นแนะนำมากหลายเพื่อยังประมวลกฎหมายนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

และเมื่อได้พิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เห็นเป็นการสมควรให้ตรวจชำระบทบัญญัติในบรรพ ๑ และ ๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นใหม่
วันประกาศพระราชกฤษฎีกา ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘
วันใช้ประมวลกฎหมาย ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘
บรรพ ๓ เอกเทศสัญญา 20px
ครั้งที่ กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ เหตุผลในการประกาศใช้ วันใช้บังคับ
พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บรรพ ๓ และเลื่อนเวลาใช้บรรพ ๑ และ ๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยที่การประมวลกฎหมายบ้านเมืองได้ดำเนินมาถึงคราวที่ควรใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๓ วันประกาศพระราชกฤษฎีกา ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘
วันใช้ประมวลกฎหมาย ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘
พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๓ ที่ได้ตรวจชำระใหม่
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๔๕/หน้า ๑/๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๑)
จำเดิมแต่ได้ออกประกาศประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๓ แต่วันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๖๗ เป็นต้นมา ได้มีความเห็นแนะนำมากหลายเพื่อยังประมวลกฎหมายนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

และเมื่อได้พิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เห็นเป็นการสมควรให้ตรวจชำระบทบัญญัติในบรรพ ๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นใหม่
วันประกาศพระราชกฤษฎีกา ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๑
วันใช้พระราชกฤษฎีกา ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๑
วันใช้ประมวลกฎหมาย ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๑
บรรพ ๔ ทรัพย์สิน 20px
ครั้งที่ กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ เหตุผลในการประกาศใช้ วันใช้บังคับ
พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ ๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๔๗/หน้า ๔๔๒/๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๓)
โดยที่การประมวลกฎหมายบ้านเมืองได้ดำเนินมาถึงคราวที่ควรประกาศใช้บรรพ ๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วันประกาศพระราชกฤษฎีกา ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๓
วันใช้พระราชกฤษฎีกา ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๓
วันใช้ประมวลกฎหมาย ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๓
บรรพ ๕ ครอบครัว 20px
ครั้งที่ กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ เหตุผลในการประกาศใช้ วันใช้บังคับ
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒/หน้า ๔๗๔/๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘)
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า การประมวลกฎหมายแห่งบ้านเมืองได้ดำเนินมาถึงคราวที่ควรใช้บรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วันใช้พระราชบัญญัติ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘
(มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)
วันใช้ประมวลกฎหมาย ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๘
(มาตรา ๓)
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๐/ตอนที่ ๓๒/หน้า ๑๐๘๙/๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๖)
โดยที่เห็นสมควรขยายการใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้ทั่วถึง เพื่อความมั่นคงและวัฒนธรรมแห่งชาติ

และโดยที่มีเหตุฉุกเฉินซึ่งจะเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันท่วงทีมิได้
วันใช้พระราชกำหนด ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๖
( มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชกำหนดนี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)
พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖ พุทธศักราช ๒๔๘๖
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๐/ตอนที่ ๔๗/หน้า ๑๓๔๓/๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๖)
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นสมควรอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖ ตามความในมาตรา ๕๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย วันใช้พระราชบัญญัติ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๖
(มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๓/ตอนที่ ๑๒๙/ฉบับพิเศษ/หน้า ๔/๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙)
เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๘ วรรคสอง บัญญัติว่าชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน จำต้องแก้ไขบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น วันใช้พระราชบัญญัติ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙
(มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)
วันใช้ประมวลกฎหมาย ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙
(มาตรา ๓)
บรรพ ๖ มรดก 20px
ครั้งที่ กฎหมายที่ให้ประกาศใช้ เหตุผลในการประกาศใช้ วันใช้บังคับ
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒/หน้า ๕๒๙/๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘)
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า การประมวลกฎหมายแห่งบ้านเมืองได้ดำเนินมาถึงคราวที่ควรใช้บรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วันใช้พระราชบัญญัติ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘
(มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)
วันใช้ประมวลกฎหมาย ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๘
(มาตรา ๓)
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๐/ตอนที่ ๓๒/หน้า ๑๐๙๒/๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๖)
โดยที่เห็นสมควรขยายการใช้บทบัญญัติบรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้ทั่วถึง เพื่อความมั่นคงและวัฒนธรรมแห่งชาติ

และโดยที่มีเหตุฉุกเฉินซึ่งจะเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ทันท่วงทีมิได้
วันใช้พระราชกำหนด ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๖
( มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชกำหนดนี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)
พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖ พุทธศักราช ๒๔๘๖
(ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๐/ตอนที่ ๔๗/หน้า ๑๓๔๕/๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๖)
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นสมควรอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖ ตามความในมาตรา ๕๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย วันใช้พระราชบัญญัติ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๖
(มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป)

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

Template:บทความหลัก2

โครงสร้าง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประกอบด้วยบทบัญญัติ ๖ บรรพ ซึ่งเป็นการจัดหมวดหมู่อย่าง เบือร์แกร์ลิชส์เกเซทซ์บุค (Bürgerliches Gesetzbuch) หรือประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมัน ที่มี ๕ บรรพ แต่ไทยได้แยกเอาเรื่องหนี้ลักษณะเฉพาะจากบรรพ ๒ หนี้ มาไว้เป็นบรรพ ๓ เอกเทศสัญญา อีกบรรพหนึ่ง[34] โดยบรรพทั้งหกของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีดังนี้

Template:วิกิซอร์ซ

  • บรรพ ๑ หลักทั่วไป ประกอบด้วยบทบัญญัติ ๖ ลักษณะ ดังนี้
    • ลักษณะ ๑ บทเบ็ดเสร็จทั่วไป
    • ลักษณะ ๒ บุคคล
    • ลักษณะ ๓ ทรัพย์
    • ลักษณะ ๔ นิติกรรม
    • ลักษณะ ๕ ระยะเวลา
    • ลักษณะ ๖ อายุความ
  • บรรพ ๒ หนี้ ประกอบด้วยบทบัญญัติ ๕ ลักษณะ ดังนี้
    • ลักษณะ ๑ บทเบ็ดเสร็จทั่วไป
    • ลักษณะ ๒ สัญญา
    • ลักษณะ ๓ จัดการงานนอกสั่ง
    • ลักษณะ ๔ ลาภมิควรได้
    • ลักษณะ ๕ ละเมิด
  • บรรพ ๓ เอกเทศสัญญา ประกอบด้วยบทบัญญัติ ๒๓ ลักษณะ ดังนี้
    • ลักษณะ ๑ ซื้อขาย
    • ลักษณะ ๒ แลกเปลี่ยน
    • ลักษณะ ๓ ให้
    • ลักษณะ ๔ เช่าทรัพย์
    • ลักษณะ ๕ เช่าซื้อ
    • ลักษณะ ๖ จ้างแรงงาน
    • ลักษณะ ๗ จ้างทำของ
    • ลักษณะ ๘ รับขน
    • ลักษณะ ๙ ยืม
    • ลักษณะ ๑๐ ฝากทรัพย์
    • ลักษณะ ๑๑ ค้ำประกัน
    • ลักษณะ ๑๒ จำนอง
    • ลักษณะ ๑๓ จำนำ
    • ลักษณะ ๑๔ เก็บของในคลังสินค้า
    • ลักษณะ ๑๕ ตัวแทน
    • ลักษณะ ๑๖ นายหน้า
    • ลักษณะ ๑๗ ประนีประนอมยอมความ
    • ลักษณะ ๑๘ การพนันและขันต่อ
    • ลักษณะ ๑๙ บัญชีเดินสะพัด
    • ลักษณะ ๒๐ ประกันภัย
    • ลักษณะ ๒๑ ตั๋วเงิน
    • ลักษณะ ๒๒ หุ้นส่วนและบริษัท
    • ลักษณะ ๒๓ สมาคม
  • บรรพ ๔ ทรัพย์สิน ประกอบด้วยบทบัญญัติ ๘ ลักษณะ ดังนี้
    • ลักษณะ ๑ บทเบ็ดเสร็จทั่วไป
    • ลักษณะ ๒ กรรมสิทธิ์
    • ลักษณะ ๓ ครอบครอง
    • ลักษณะ ๔ ภาระจำยอม
    • ลักษณะ ๕ อาศัย
    • ลักษณะ ๖ สิทธิเหนือพื้นดิน
    • ลักษณะ ๗ สิทธิเก็บกิน
    • ลักษณะ ๘ ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์
  • บรรพ ๕ ครอบครัว ประกอบด้วยบทบัญญัติ ๓ ลักษณะ ดังนี้
    • ลักษณะ ๑ การสมรส
    • ลักษณะ ๒ บิดามารดากับบุตร
    • ลักษณะ ๓ ค่าอุปการะเลี้ยงดู
  • บรรพ ๖ มรดก ประกอบด้วยบทบัญญัติ ๖ ลักษณะ ดังนี้
    • ลักษณะ ๑ บทเบ็ดเสร็จทั่วไป
    • ลักษณะ ๒ สิทธิโดยธรรมในการรับมรดก
    • ลักษณะ ๓ พินัยกรรม
    • ลักษณะ ๔ วิธีจัดการและปันทรัพย์มรดก
    • ลักษณะ ๕ มรดกที่ไม่มีผู้รับ
    • ลักษณะ ๖ อายุความ

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

[[ไฟล์:Charles Montesquieu.jpg|170px|thumb|right|มงแตสกีเยอ (Montesquieu) ใน ค.ศ. ๑๗๒๘ (พ.ศ. ๒๒๗๑)]]

กฎหมายไทยแต่โบร่ำโบราณ โดยเฉพาะกฎหมายตราสามดวงนั้น มักระบุเหตุผลที่ตราบทบัญญัตินั้น ๆ ไว้ในบทบัญญัติด้วย เช่น กฎหมายตราสามดวง กฎหมายลักษณะผัวเมีย มาตรา ๖๗ ว่า "ภรรยาสามีมิชอบเนื้อพึงใจกัน จะหย่ากันไซร้ ตามน้ำใจเขา เหตุว่าเขาทั้งสองสิ้นบุญกันแล้ว จะจำใจให้อยู่ด้วยกันนั้นมิได้"[35] ซึ่งการให้เหตุผลในตัวบทกฎหมายด้วยเช่นนี้ยังเป็นที่นิยมมาถึงในสมัยร่างกฎหมายลักษณะอาญาและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย ขณะที่การบัญญัติกฎหมายในปัจจุบันจะไม่พึงกระทำเช่นนั้นเด็ดขาด ดังที่ ชาร์ล-ลูอี เดอ เซอกงดา ผู้เป็นบารงแห่งลาแบรดและมงแตสกีเยอ (Charles-Louis de Secondat, baron de La Brède et de Montesquieu) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "มงแตสกีเยอ" (Montesquieu) นักคิดนักเขียนทางการเมืองชาวฝรั่งเศส ว่า[36] [37]

"กฎหมายนั้นไม่สมควรจะบัญญัติในเชิงอภิปราย การให้เหตุผลรายละเอียดแห่งการบัญญัติกฎหมายนั้น ๆ เป็นเรื่องเสี่ยงภัยโดยแท้ เพราะการให้เหตุผลดังกล่าวย่อมเปิดช่องให้เกิดการโต้แย้งขึ้นได้"

หยุด แสงอุทัย ศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการให้เหตุผลในตัวบทกฎหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่า[38]

"กฎหมายที่บัญญัติขึ้นในสมัย ๆ นั้น ในบางบทบางมาตราได้เขียนอธิบายเหตุผลของการที่บัญญัติข้อความเช่นนั้นไว้ในบทมาตรานั้นเอง แม้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เองก็เคยเขียนเหตุผลไว้ในบทมาตราเหมือนกัน แต่ผู้เขียนจำได้เพียงมาตราเดียว คือ มาตรา ๒๐๔ ซึ่งใช้คำว่า '...ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัด เพราะเขาเตือนแล้ว' เป็นเหตุผลซึ่งไม่สมควรจะใส่ไว้ในกฎหมาย สำหรับบทกฎหมายนั้นความสำคัญอยู่ที่ว่าลูกหนี้ผิดนัดหรือไม่เท่านั้น ตามที่กล่าวมาแล้วหมายความว่า ไม่สมควรที่บทมาตราต่าง ๆ จะบัญญัติถึงเหตุผลของการที่มีบทบัญญัตินั้นขึ้น เพราะการให้เหตุผลของการที่ควรมีบทบัญญัติขึ้นนี้ควรจะเป็นเรื่องที่ผู้เสนอกฎหมายที่จะอธิบายต่อองค์การที่จะอนุมัติให้บัญญัติกฎหมายมากกว่า เช่น เป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีที่เสนอกฎหมายต่อสภาผู้แทนฯ ที่จะอธิบายเหตุผลการบัญญัติกฎหมายนั้นให้สภาผู้แทนฯ ทราบ เป็นต้น แต่การที่จะไปเขียนไว้ในบทมาตรานั้นย่อมจะเป็นการฟุ่มเฟือย บทมาตราต่าง ๆ ของกฎหมายควรจะมีข้อความสั้น ๆ กะทัดรัด อ่านง่าย เข้าใจง่าย เช่น จะต้องห้ามการอย่างไรก็เขียนห้ามไว้ ไม่จำเป็นต้องเขียนอธิบายว่า ทำไมจึงต้องมีบทบัญญัติห้ามการกระทำเช่นว่านั้น ข้อที่ควรระลึกมีว่า อย่าเอาเหตุผลในการบัญญัติกฎหมายไปปนกับเหตุผลของข้อความซึ่งอาจใส่เพื่อความชัดเจนได้ เช่น เมื่อพูดถึงวิกลจริต ก็อาจเขียนเหตุแห่งการวิกลจริตลงได้..."

ทั้งนี้ มาตรา ๒๐๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังที่ หยุด แสงอุทัย อ้างถึงนั้น มีข้อความเต็ม ๆ ดังต่อไปนี้ โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ตราบทุกวันนี้

"ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัด เพราะเขาเตือนแล้ว

ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้ซึ่งได้กำหนดเวลาลงไว้อาจคำนวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว"

เชิงอรรถ

  1. ^ a b Sawaeng Bunchaloemwiphat, 2009 : 204.
  2. ^ a b ชาญชัย แสวงศักดิ์, ๒๕๓๙ : ๖๘.
  3. ^ a b c แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๓๐.
  4. ^ a b แสวง บุญเฉลิมวิภาส, ๒๕๕๒ : ๒๓๕.
  5. ^ Somyot Chueathai, 2008 : 11.
  6. ^ The Government Gazette of Thailand; 1908, 1 June : Online.
  7. ^ Somyot Chueathai, 2008 : 11-12.
  8. ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๒๘-๒๒๙.
  9. ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๒๙.
  10. ^ เรอเน่ กียอง, ๒๕๓๖ : ๑๐๗.
  11. ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๓๐-๒๓๑.
  12. ^ ชาญชัย แสวงศักดิ์, ๒๕๓๙ : ๕๔-๕๕.
  13. ^ เอกสารกระทรวงยุติธรรม รัชกาลที่ ๖ หมายเลข ย ๑๒๑/๒ฯ.
  14. ^ ชาญชัย แสวงศักดิ์, ๒๕๓๙ : ๕๒.
  15. ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๓๑.
  16. ^ ชาญชัย แสวงศักดิ์, ๒๕๓๙ : ๕๖.
  17. ^ เรอเน่ กียอง, ๒๕๓๖ : ๑๐๕-๑๐๖.
  18. ^ คำแปลต้นฉบับใช้คำว่า "มลรัฐ" อย่างไรก็ดี คำนี้เลิกใช้แล้วตามประกาศของราชบัณฑิตยสถาน ดู รัฐในสหรัฐอเมริกา
  19. ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๓๒.
  20. ^ ชาญชัย แสวงศักดิ์, ๒๕๓๙ : ๕๗-๕๘.
  21. ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๓๓.
  22. ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๓๓.
  23. ^ ชาญชัย แสวงศักดิ์, ๒๕๓๙ : ๖๐.
  24. ^ ภาควิชานิติศึกษาทางสังคม ปรัชญา และประวัติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์; ๒๕๒๓, ๑๒ กันยายน : ๒-๔.
  25. ^ ราชกิจจานุเบกษา; ๒๔๖๘, ๑๑ พฤศจิกายน : ออนไลน์.
  26. ^ หยุด แสงอุทัย; ๒๕๐๗, ๖ กุมภาพันธ์ : ๑๒๙.
  27. ^ สมยศ เชื้อไทย, ๒๕๕๑ : ๑๒.
  28. ^ สมยศ เชื้อไทย, ๒๕๕๑ : ๑๒-๑๓.
  29. ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๕๖.
  30. ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๕๖-๒๕๗.
  31. ^ แสวง บุญเฉลิมวิภาศ, ๒๕๕๒ : ๒๕๗.
  32. ^ ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๑ : ออนไลน์.
  33. ^ สมยศ เชื้อไทย, ๒๕๕๑ : ๑๙-๒๑.
  34. ^ สมยศ เชื้อไทย, ๒๕๕๑ : ๑๓.
  35. ^ ธานินทร์ กรัยวิเชียร และอภิชน จันทรเสน, ๒๕๕๐ : ๑๙๗-๑๙๘.
  36. ^ Carleton Kemp Allen, 1964 : 482-483.
  37. ^ ธานินทร์ กรัยวิเชียร และอภิชน จันทรเสน, ๒๕๕๐ : ๑๙๘.
  38. ^ หยุด แสงอุทัย, ๒๔๙๒ : ๓๒๓-๓๒๔.

อ้างอิง

ภาษาไทย

หนังสือ

  • ชาญชัย แสวงศักดิ์. (๒๕๓๙). อิทธิพลของฝรั่งเศสในการปฏิรูปกฎหมายไทย. กรุงเทพฯ : นิติธรรม. ISBN 9747761577.
  • ธานินทร์ กรัยวิเชียร และอภิชน จันทรเสน. (๒๕๕๐). คำแนะนำนักศึกษากฎหมาย. (พิมพ์ครั้งที่ ๕). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ISBN 9789745719941.
  • ราชบัณฑิตยสถาน.
    • (๒๕๔๓). พจนานุกรมศัพท์กฎหมายไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์. ISBN 9748123529.
    • (๒๕๔๔). พจนานุกรมศัพท์กฎหมายไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (พิมพ์ครั้งที่ ๓). กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์. ISBN 9748123758.
  • สมยศ เชื้อไทย. (๒๕๕๑). ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉบับใช้เรียน. (พิมพ์ครั้งที่ ๕). กรุงเทพฯ : วิญญูชน. ISBN 9789742886370.
  • แสวง บุญเฉลิมวิภาส. (๒๕๕๒). ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย. (พิมพ์ครั้งที่ ๘). กรุงเทพฯ : วิญญูชน. ISBN 9789742886257.

หนังสือพิมพ์

  • ราชกิจจานุเบกษา.
    • (๒๔๕๑, ๑ มิถุนายน). กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
    • (๒๔๖๘, ๑๑ พฤศจิกายน). พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ และ ๒ ที่ได้ตรวจชำระใหม่. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
    • (๒๔๗๑, ๑ มกราคม). พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๓ ที่ได้ตรวจชำระใหม่. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
    • (๒๔๗๓, ๑๘ มีนาคม). พระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ ๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
    • (๒๔๗๘, ๒๙ พฤษภาคม). พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
    • (๒๔๗๘, ๗ มิถุนายน). พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
    • (๒๔๗๘, ๒๘ กรกฎาคม). แก้คำผิด ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๑๓ วันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๘ พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.๒๔๗๗. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
    • (๒๔๘๖, ๑๙ มิถุนายน). พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
    • (๒๔๘๖, ๑๙ มิถุนายน). พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
    • (๒๔๘๖, ๑๔ กันยายน). พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖ พุทธศักราช ๒๔๘๖. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
    • (๒๔๘๖, ๑๔ กันยายน). พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ พุทธศักราช ๒๔๘๖ พุทธศักราช ๒๔๘๖. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
    • (๒๕๑๙, ๒๖ สิงหาคม). ประกาศสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ... . [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
    • (๒๕๑๙, ๒๗ กันยายน). ประกาศ วุฒิสภา เรื่อง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ... . [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
    • (๒๕๑๙, ๑๕ ตุลาคม). พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
    • (๒๕๓๕, ๒๑ มกราคม). ประกาศสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา เรื่อง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ... และร่างพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... . [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).
    • (๒๕๓๕, ๘ เมษายน). พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๕. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒).

บทความ

  • เรอเน่ กียอง. (๒๕๓๖). "การตรวจชำระและร่างประมวลกฎหมายในกรุงสยาม". (วิษณุ วรัญญู แปล). วารสารนิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, (ปีที่ ๒๓, ฉบับที่ ๑).
  • หยุด แสงอุทัย.
    • (๒๔๙๒). "การร่างกฎหมาย". นิติสาสน์, (ปีที่ ๒๐, เล่ม ๒).
    • (๒๕๐๗, ๖ กุมภาพันธ์). "การร่างกฎหมายในประเทศไทย". วารสารทนายความ, (ปีที่ ๖).

แหล่งข้อมูลออนไลน์

  • ราชบัณฑิตยสถาน.
    • (๒๕๕๑, ๗ กุมภาพันธ์). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๑๒ กันยายน ๒๕๕๒).
    • (ม.ป.ป.). ศัพท์บัญญัติราชบัณฑิตยสถาน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๑๒ กันยายน ๒๕๕๒).
  • สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. (๒๕๕๑, ๑๐ มีนาคม). ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: <คลิก>. (เข้าถึงเมื่อ: ๑๒ กันยายน ๒๕๕๒).

เอกสารอื่น

  • ภาควิชานิติศึกษาทางสังคม ปรัชญา และประวัติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. (๒๕๒๓, ๑๒ กันยายน). บันทึกคำสัมภาษณ์พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา). (เอกสารในห้องสมุดสัญญาธรรมศักดิ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนยืท่าพระจันทร์ กรุงเทพมหานคร).
  • เอกสารกระทรวงยุติธรรม รัชกาลที่ ๖ หมายเลข ย ๑๒๑/๒ หนังสือเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมกราบบังคมทูล เรื่อง ระเบียบวิธีการในการร่างกฎหมาย. (เอกสารรักษาไว้ที่กระทรวงยุติธรรม กรุงเทพมหานคร).

ภาษาต่างประเทศ



Template:แม่แบบ:ประมวลกฎหมายไทย

หมวดหมู่:ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์